ข่าวด่วน

Home ข่าวด่วน Page 13
Featured posts

ข่าวร้าย! โรงผลิตโซล่าเชลล์ที่ปราจีนบุรีเพิ่งปิดโรงงานไปล่าสุด ที่ฉะเชิงเทราอาจปิดตามกันภายในเดือนนี้ย้ายไปรวมกับบริษัทแม่ ที่เวียดนาม

เมื่อวันที่ 17 ก.ค.67 เพจ นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า  โรงผลิตแผงโซล่าเชลล์หวังลองตั้งโรงงานในไทยสุดท้ายสู้ค่าแรงที่ไทยไม่ไหวแม้ค่าแรงขั้นต่ำใหม่ยังไม่ประกาศใช้เปิดมาปีกว่าตัดสินใจ ปิดโรงงานย้ายบริษัทไปที่เวียดนามที่ตั้งบริษัทแม่ ทางเพจนิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์ ได้รับรายงานจากทีมข่าว หลังติดตามความคืบหน้าจากกรณีเพจได้นำเสนอข่าวว่ามีบริษัทเรียกพนักงานชุดสุดท้ายมาเซ็นต์สัญญาเลิกจ้าง ในวันที่ 15 กรกฏาคม 2567 ที่ผ่านมา

ซึ่งมีทั้งพนักงานสัญญาจ้างและพนักงานประจำ ซึ่งทางบริษัทได้มีการแจ้งล่วงหน้าให้พนักงานทราบมาหลายเดือนแล้ว และมีการจ่ายค่าชดเชยตามกฏหมายทุกอย่างให้แก่พนักงานยอดล่าสุดของพนักงานชุดสุดท้ายที่เลิกจ้าง ประมาณ 160 ราย จากพนักงานรวมที่มีก่อนหน้าราว 600 ราย ที่ทยอยเลิกจ้างไปก่อนหน้านี้แต่ทางบริษัทมีข้อเสนอหากอย่างทำงานต่อสามารถย้ายไปทำบริษัทที่ติดกัน เป็นบริษัทผลิต เชลล์ ชิ้นส่วนของแผงโซล่าเชลล์ แต่พนักงานส่วนมากเลือกที่จะไม่ไป

ซึ่งบริษัทดังกล้าตั้งอยู่ที่นิคมบ่อทอง 33 จังหวัดปราจีนบุรี เปิดมาประมาณปีกว่า ผลิตเกี่ยวกับแผงโซล่าเชลล์ มีบริษัทแม่ตั้งอยู่ประเทศเวียดนาม สาเหตุแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายไม่ไหว รวมถึงค่าแรงในปัจจุบัน ถึงแม้ยังไม่มีการประกาศค่าแรงขั้นต่ำใหม่ จากทางภาครัฐก็ตาม ซึ่งโรงงานผลิตแผงโซล่าเชลล์ในปราจีนยังมีอีกหลายบริษัทยังคงดำเนินกิจการอยู่ บริษัทที่ปิดตัวไปนั้นเป็นบริษัทขนาดกลางหวังมาลองเปิดฐานผลิตในไทยว่าจะดำเนินธุรกิจไปด้วยดีหรือไม่ แต่สุดท้ายขาดทุนแน้วโน้มจะเดินต่อไปไม่ไหวเลยต้องปิดโรงงานที่ไทย ย้ายกลับไปที่บริษัทแม่ที่ตั้งอยู่ประเทศเวียดนาม นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์ รายงาน

และต่อมาทางด้านนิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์  ก็ได้โพสต์ความคืบหน้าระบุว่า

สาขาโรงผลิตโซล่าเชลล์ที่ปราจีนบุรีพึ่งปิดโรงงานไปล่าสุดสาขาที่ ฉะเชิงเทรา ได้รับรายงานมาอาจปิดตามกันภายในเดือนนี้ย้ายไปรวมกับบริษัทแม่ ที่เวียดนามหรือไม่ รอเพจรายงานอีกครั้งครับ

ระทึกอีก คลื่นลมแรง ซัดเรือประมงชาวบ้านล่ม

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม น.อ.พิเชษฐ์ ซองตัน ผอ.กองสารนิเทศ/โฆษก ศรชล.ภาค 3 เปิดเผยว่า คลื่นลมแรงซัดเรือประมงพื้นบ้านชื่อเรือ 4 พี่น้อง ล่มที่บริเวณปากร่อง อ่าวนุ่น ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล เมื่อเวลา 06.30 น. วันนี้ (17 กรกฎาคม) โดยมีผู้ประสบภัย 2 ราย ดังนี้

1.นายรอดี นิลสกุล อายุ 61 ปี (ได้รับการช่วยเหลือปลอดภัยแล้ว)

2.นางปราณี นิลสกุล อายุ 58 ปี (ได้รับการช่วยเหลือปลอดภัยแล้ว)

หลังเกิดเหตุ ศคท.จว.สต. ได้ลงพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งชาวประมงพื้นบ้านได้ช่วยกันลากเรือเข้าฝั่งบริเวณอ่าวนุ่น ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล จึงขอแจ้งให้เรือเล็ก เรือประมงพื้นบ้าน ทราบว่าในช่วงวันที่ 18-19 กรกฎาคมนี้ ยังคงมีคลื่นลมแรงอยู่ เรือเล็กไม่ควรออกจากฝั่ง เรือประมงพื้นบ้านควรใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง

เครียดหนัก เงินหายจากบัญชี 5.3 แสน ถึงขั้นกินน้ำยาล้างจาน ธนาคารปัดไปมาพิสูจน์ไม่ได้

วันที่ 31 ก.ค.67 ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงานว่า น.ส.เบญจวรรณ สุพะนาม อายุ 35 ปี อยู่เลขที่ 2 หมู่ 5 บ้านโคกกลาง ต.เมืองฝาง จ.บุรีรัมย์ ร้องผ่านสื่อว่า เงินหายจากบัญชีธนาคารไป 530,000 บาทแต่ธนาคารอ้างว่าเราเป็นคนทำธุรกรรมเอง ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง และอยากให้ผู้รู้มาชี้แนะหาทางออกเพราะเกิดอาการเครียด

น.ส.เบญจวรรณ เล่าว่าสามีไปทำงานอยู่ประเทศเกาหลี เมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา ตอนแรกๆจะส่งมาให้ทางบ้านใช้จ่ายเดือนละประมาณ 40,000 บาท เข้าธนาคารกรุงเทพ ของแม่ ผ่านไปประมาณ 2 ปี สามีบอกว่าเงินจะเอาเข้าบัญชีของตนซึ่งมีบัญชีธนาคารกรุงไทยอยู่แล้วเพื่อเก็บไว้สร้างบ้าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเงินที่สามีส่งมาจะเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย

ซึ่งสามีได้ส่งเงินมาเพิ่มเรื่อยๆจนกระทั่งเป็นเดือนละ 80,000 บาท และทุกครั้งที่เงินเข้าบัญชี หลังหักค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ และค่าส่งงวดรถเดือนละ 22,000 บาท ตนจะโอนผ่านแอป เข้าธนาคารธนชาติของตนอีกบัญชีหนึ่ง เพราะอยากจะเก็บไว้เป็นบัญชีเอกเทศเอาไว้สร้างบ้านตามที่สามีบอกมา ซึ่งล่าสุดมีเงินฝากบัญชีธนาคารธนาชาติ 560,000 บาท

ล่าสุดน้าสาวมาขอยืมเงิน 200,000 สอบถามสามีแล้วบอกว่าให้ได้ วันที่ 21 ก.ค.ตนกับน้าสาวเดินทางไปเบิกเงินที่ธนาคารธนชาติ ถึงธนาคารเอาสมุดบัญชีไปปรับพบว่าเงินในบัญชีเหลือเพียง 30,000 บาทเท่านั้น

จึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ได้รับคำตอบว่าเป็นรายการโอนจากแอปของเราเองไปยังธนาคารเดิมคือธนาคารกรุงไทย ตนได้ยืนยันกับธนาคารว่า”ฉันไม่ได้โอน”ธนาคารตอบกลับมาอีกว่าถ้าตนไม่ได้โอนจะต้องเป็นคนในบ้านเป็นคนโอน ตนก็แจ้งไปอีกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะที่บ้านอยู่กับพ่ออายุ 59 แม่อายุ 53 อาชีพทำนาทุกครั้งหากพ่อหรือแม่ จะโอนตนต้องเป็นคนโอน เพราะพ่อ-แม่ทำไม่เป็น ส่วนลูก 7 ขวบกับ 4 ขวบยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำธุรกรรมได้

เจ้าหน้าที่ธนาคารธนชาติ ยังบอกอีกว่าถ้าคิดจะไปแจ้งความให้ไปปรึกษากันดีๆก่อน เพราะเข้าข่าย แจ้งความเท็จ มีโทษจำคุกตนกับน้าสาวจึงกลับบ้านเพื่อมาปรึกษากับครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ยืนยันเช่นเดียวกันว่า ไม่เคยโอนไม่รู้เรื่องการโอน

วันที่ 22 ก.ค.จึงเดินทางไปขอ Statement กับธนาคารธนาชาติและธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่าเงินที่ตนโอนเข้าธนาคารธนชาติ ถูกโอนกลับมายังธนาคารกรุงไทยจริง แต่ที่ตนงงที่สุดคือ เงินจากธนาคารกรุงไทย ถูกโอนผ่านแอป ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาครั้งละ 10,000-20,000 บาท บางครั้ง 30,000 บาท ไปยังบัญชีประเทศจีนและประเทศเวียดนามเป็นเงินกว่า 530,000 บาท

ด้วยความมั่นใจจึงเดินทางไปแจ้งความกับตำราวจที่ สภ.หนองสองห้อง ตำรวจตรวจสอบโทรศัพท์พบว่าเป็นการโอนจากแอปของเราเอง พูดเหมือนเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าไปปรึกษากันก่อนไหม ยังไม่กล้ารับแจ้งความเพราะหากผิดพลาดมาเรามีคดีแน่

น.ส.เบญจวรรณ เล่าอีกว่า ตอนนี้งงไปหมดตนจะรู้จักบัญชีต่างประเทศได้อย่างไร เพราะไม่เคยรู้จักหรือสั่งสินค้ากับคนต่างประเทศ กลับมาถึงบ้านนั่งคิดนอนคิดก็ไม่ออกว่าตนไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร เพราะสติตนเป็นปกติไม่เคยเล่นการพนัน

วันนั้นพอกลับบ้านนอนไม่หลับ เวลาประมาณ 22.45 น.ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรเข้ามา บอกว่าเงินที่หายไปจากธนาคารธนชาติไปนั้น อย่าพึ่งตกใจนะมันเป็นความผิดของทางธนาคาร เดี๋ยวทางธนาคารจะตรวจเส้นทางการเงินของน้อง วันพรุ่งนี้เวลาประมาณ 10.00-11.00 น.วันถัดไปธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีคืน ตอนนั้นรู้สึกโล่งอก ตอนหลับสนิท

พอวันถัดมา(23 ก.ค.)นั่งรอนอนรอข้อความเงินเข้าแต่ไม่มีจนถึงบ่าย จึงเดินทางไปหาธนาคารอีก ธนาคารบอกว่าเหมือนเดิมคือไม่มีเงินเข้าออกแต่อย่างใด ทำให้ต้องคอตกกลับบ้านอีก

ตอนนี้ตนเครียดมากอยากจะให้ธนาคารตรวจเช็คให้ละเอียดอีกครั้ง หรือหน่วยงานใดมาให้ความรู้หาแนวทางช่วยเหลือตนเองด้วย ปกติเงินที่โอนออกโอนเข้าผ่านทางแอปของตน จะมีข้อความเข้ามา แต่ทำไมเวลาโอนไปต่างประเทศเราไม่รู้

น.ส.เบญจวรรณ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเครียดถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย กินน้ำยาล้างจานเข้าไป นอนอยู่ที่โรงพยาบาล 1 คืน เพราะเครียดไม่รู้จะไปพึ่งใครได้ ทุกหน่วยงานดูหลักฐานแล้วบอกว่าเป็นเพราะเราเองซึ่ง มันเป็นไปไม่ได้

หนุ่มเมาแล้วขับ พุ่งชน ด.ญ. เสียชีวิตคาที่ ขวดเบียร์เต็มรถ แม่ร่ำไห้กอดร่างลูก

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 67 ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พ.ต.ต.ณัฐพงษ์ อาจอ่ำ สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองราชบุรี รับแจ้งเหตุรถเก๋งชนรถจักรยานยนต์มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บริเวณถนนเขางูสายเก่า หมู่ที่ 1 ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี จึงรุดตรวจสอบพร้อมแพทย์เวร รพ.ราชบุรี และมูลนิธิปฐมบรมราชานุสรณ์ ที่เกิดเหตุบริเวณร้านขายน้ำดื่ม พบร่าง ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า สกู๊ปปี้ สภาพถูกชนพังยับทั้งคัน โดยมี น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 52 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต กอดร่างลูกสาวร้องไห้ พร้อมเรียกชื่อลูกสาวและพูดแต่คำว่า แม่ขอโทษ

ส่วนคู่กรณีเป็นรถเก๋ง โตโยต้าคัมรี่ สีเขียว ทะเบียนกรุงเทพฯ จอดเสียหลักอยู่กลางถนน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร สภาพกันชนรถด้านหน้าหลุด ล้อหน้าด้านซ้ายแตก และบนถนนพบเศษชิ้นส่วนรถยนต์กระจายเกลื่อน ตรวจสอบภายในรถพบขวดเบียร์ที่เปิดดื่มแล้ว และยังไม่ได้เปิด นอกจากนี้ยังพบกระป๋องเบียร์อีกด้วย

คนขับรถถูกชาวบ้านและเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ช่วยกันควบคุมตัวเอาไว้ มีลักษณะอาการคล้ายคนมึนเมา ทราบชื่อต่อมาคือ นายวิหก (สงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี ชาว จ.กรุงเทพมหานคร ยอมรับว่าดื่มมาหลายขวดและเมาจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวไปสอบสวนต่อที่ สภ.เมืองราชบุรี

สอบถามเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ด.ญ.เอ ขี่รถจักรยานยนต์ออกมาซื้อข้าวให้แม่ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่แม่โทรศัพท์เข้ามาจึงจอดรถริมถนนเพื่อรับสาย ซึ่งเป็นทางโค้งพอดี และเพียงไม่ถึง 5 วินาที นายวิหก ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วจากเลนขวาหลุดโค้งพุ่งชน ด.ญ.เอ ลอยเข้าไปในร้านขายน้ำดื่มข้างทาง แล้วเสียชีวิตทันที จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ตอนนั้นตนขี่รถจักรยานยนต์มาตามหลังรถเก๋งเพื่อจะกลับบ้าน เห็นว่ารถขับมาด้วยความเร็วจนไม่กล้าขี่รถเข้าใกล้ กระทั่งมาถึงที่เกิดเหตุเห็นน้องผู้เสียชีวิตขี่รถจักรยานยนต์มาจอดอยู่ข้างทางได้แป๊บเดียว

รถเก๋งก็ขับแหกโค้งพุ่งชนน้องจนเสียชีวิต ส่วนรถเก๋งเสียหลักจอดแน่นิ่งอยู่กลางถนน หลังเกิดเหตุคนขับรถยังไม่ยอมลงจากรถ และพยายามจะเร่งเครื่องหนี แต่รถไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้เพราะล้อหน้าหักและยางแตก ขณะที่ตนและชาวบ้านเข้าไปใกล้เพื่อบอกให้คนขับลงจากรถ ก็ได้กลิ่นสุราคลุ้งออกมาจากตัวคนขับ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับด้วยว่าเมา

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำพยานบุคคล พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดใกล้จุดเกิดเหตุ และให้คนขับเป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย พบสูงถึง 222 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จึงตั้งข้อกล่าวหา เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต นอกจากนั้น เมื่อตรวจสอบรถเก๋งคันเกิดเหตุ พบว่าทั้งทะเบียนรถและพ.ร.บ. ขาด ส่วนร่างของ ด.ญ.เอ เจ้าหน้าที่ได้ส่งผ่าชันสูตรที่ศูนย์นิติเวช รพ.ราชบุรี เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด ก่อนส่งมอบร่างให้ญาติไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป

แพงอะไรเบอร์นี้! สาวสั่งกับข้าว 3 อย่าง ร้านข้าวแกง ถึงกับงงตอนจ่าย หมดนี่ 820 บาทเลยเหรอ

ต้องบอกเลยว่าในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็เคยเจอร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าในราคาที่ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคหรือบริโภคก็ตาม เนื่องด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นก็เลยทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นตาม แต่ผู้คนก็อดตกใจไม่ได้กับค่าอาหารที่เพิ่มขึ้น ดังเช่นกับผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่ได้พบเจอมากับการซื้อกับข้าว 3 อย่างในตลาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีราคาถึง 820 บาท

โดยเจ้าของเรื่องได้โพสต์ในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภค ระบุว่า ตนไปซื้อครั้งแรกแบบคนไม่มีความรู้ในการเดินตลาดแห่งนี้ เพราะไปแค่ปีละครั้ง ตอนเจอร้านขายแกงร้านหนึ่งที่ดูน่ากินมากและมีหลากหลาย ก็เดินเข้าไปซื้อทันที ซึ่งตนก็ยอมรับว่า ตนก็ผิดเองที่ไม่ถามราคาก่อน เพราะคิดว่ารู้แล้วเรื่องที่ตลาดนี้ขายของแพงกว่าที่อื่นมาก แต่ไม่คิดว่าจะแพงเท่านี้

ตนสั่งไป 3 อย่างตามรูป จนเมื่อถามราคาตอนจ่ายเงิน ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากับข้าว 3 อย่างนี้ราคา 820 บาท โดย ปลาทูต้ม 2 ตัว 380 บาท กุ้งทอดกระเทียม 400 บาท และที่เหลือคือปลาดุกผัดพริก 40 บาท ซึ่งเมื่อสั่งแล้วเธอก็ต้องจ่ายเงิน แล้วก็เดินออกมาด้วยความงง ว่ามันแพงขนาดนี้เลย ทั้งนี้ ตนขอฝากถึงทุกคนที่อาจจะไม่เคยเดินตลาดในย่านนั้น ว่าโปรดถามราคาก่อนซื้อ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปแล้วนั้น ก็กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากจากชาวเน็ต โดยหลายคนยืนยันว่าในตลาดดังกล่าวขายของแพงจริง ราคาดังกล่าวอาจจะเป็นปกติของตลาดนี้แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าแพงมากเมื่อเทียบกับอาหารตามร้านอื่น ๆ มีแค่ปลาดุกผัดเผ็ดที่ราคารับได้ นอกจากนี้ ยังมีคนสงสัยเรื่องที่ทางร้านได้ติดป้ายราคาด้วยหรือไม่ และตั้งข้อสังเกตว่าราคากับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นถุงมัดแบบนี้ ดูไม่ค่อยเหมาะกันสักเท่าไหร่

ด่วน!! พบชายคลั่งถือมีด 2 เล่ม ไล่ฟันคนอื่น ใครอยู่ในพื้นที่ระวัง

30 ก.ค. 2567 จากกรณี เฟซบุ๊กเพจ Nakorn 45 อัญวุฒิ โพธิ์อำไพ โพสต์ข้อความ ว่า “วิ่งกันกระเจิง.!! กู้ภัยเข้าช่วยเหลือรับผู้ป่วยจากสายด่วนถึงจุดเกิดเหตุผู้ป่วยจากดีๆไปเอามีD2เล่มไล่ฟันในพื้นที่ประเวศ”

เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่อยู่ในพื้นที่ ทราบว่า ได้ รับแจ้งจากแม่ผู้ก่อเหตุว่าจะต้องไปรับลูกชายเพื่อไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงบ้านแล้วก็พูดคุยกับลูกชายได้ตามปกติ แต่เมื่อกำลังจะขึ้นรถ ลูกชายกลับมีอาการคลุ้มคลั่ง วิ่งคว้ามีดทำครัวมา 2 เล่ม วิ่งเข้าหาเจ้าที่กู้ภัยที่กำลังจะพาไปส่งโรงพยาบาล ทำให้เจ้าหน้าที่แตกตื่นรีบวิ่งออกมา ก่อนที่จะประสานกับตำรวจสน. ประเวศ ให้เข้ามาระงับเหตุ

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.37 น. มีรายงาน ว่าประชาชนถูกแทงได้รับบาดเจ็บ 1 ราย

แต่ชายคนก่อเหตุมีอาการคลุ้มคลั่งหนักมาก ถือมีดแกว่งไปแกว่งมา ก่อนจะวิ่งฝ่าตำรวจ แล้ว ข้ามถนนใหญ่ไปหลายเลน เบื้องต้นตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมชายคนก่อเหตุได้ แต่ตำรวจเป็นห่วงเกรงว่าจะไปทำร้ายประชาชนที่อยู่รอบข้าง จึงได้ขับรถตามล่า

เจ้าหน้าที่รปภ.โรงพยาบาลดัง โดดน้ำเสียชีวิตกลางบ่อสวนลุมฯ

วันที่ 19 ก.ค. 67 เวลา 11:30 น. สายตรวจสน.ลุมพินีและ 191 ได้รับแจ้งเหตุมีชายพยายามทำร้ายตนเองภายในสวนลุมพินี แขวงลุมพินี เขตปทุ กรุงเทพมหานคร ลักษณะการก่อเหตุพยายามเดินขึ้นลงจากน้ำ 3 ครั้ง หลังจากนั้นผู้เห็นเหตุการณ์ได้สังเกตว่าครั้ง 3 ชายคนดังกล่าวยังไม่ขึ้นมา จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับอาสาสมัครมูนิธิป่อเต็กตึ๊ง และ แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลจุฬา พบที่เกิดเหตุเป็นลักษณะบ่อน้ำใหญ่ ทางเข้าลุมพินีประตู 3

ต่อมาจนท.ตำรวจได้เข้าสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ ว่าชายคนดังกล่าว จมไปอยู่บริเวณไหน และได้ประสานอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็งตึ๊ง เพื่อร้องขออุปกรณ์ชุดประดำน้ำใต้ 4-00 มาทำการงมค้นหา ชายรปภ.คนดังกล่าว ที่จมลงไปภายในบ่อน้ำ

หลังจากนั้น เวลา 12:50 น. เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำได้ค้นหาใช้เวลาไม่นานพบร่างเป็นชาย 1 ราย สวมชุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริษัทดัง ซึ่งได้ทราบข้อมูลต่อมาว่า ชื่อนายคำผล นาแพงรัตน์ อายุ 51 ปี ภูมิลำเนาเป็นคนชาว อุดรธานี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมแพทย์นิติเวชจะนำร่างไปชันสูตรที่รพ.จุฬาฯ และเพื่อติดต่อหาญาติมาดำเนินการพิธีทางศาสนาต่อไป

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ นครบาล รายงาน

รมช.คลังตอบแล้ว เรื่องเงินดิจิทัล ไปแลกเป็นเงินสด

วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ พูดคุยกับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรายการ กรรมกรข่าวคุยนอกจอ ถึงประเด็นเกี่ยวกับ ดิจิทัลวอลเล็ต โดยช่วงหนึ่งสอบถามเรื่องข้อกังวลว่า อาจจะเกิดช่องโหว่ที่ทำให้บางกลุ่มได้ผลประโยชน์ รวมทั้งเมื่อแจกเงินดิจิทัลแล้ว ก็อาจจะถูกนำไปแลกเป็นเงินสด ดังนั้นจะมีวิธีดูแลจัดการอย่างไร

ทั้งนี้ นายสรยุทธถามว่า เราจะสามารถป้องกันคนเอาเงินดิจิทัลวอลเล็ต ไปแลกเป็นเงินสดอย่างไร ในกรณีที่คนที่ต้องการที่จะแลก อยากได้เงินสดไปซื้อเหล้า เอาไปจ่ายค่าไฟ โดยยอมที่จะเสียส่วนต่าง เช่น มีเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่ขอแลกเป็นเงินสด 7,000 บาท ให้ร้านกินกำไรไปเลย 3,000 บาท

ซึ่งนายจุลพันธ์ยอมรับว่า เรื่องนี้มันยากที่จะป้องกันได้ 100% แต่ตนจะบอกว่า เงินดิจิทัล 10,000 บาท มีค่าเท่ากับเงินสด 10,000 บาท การจะเอาเงินดิจิทัลไปแลกเงินสดในราคาที่ลดลง มันไม่ฉลาด และเงินดิจิทัลใช้ได้กว้าง ใช้ได้ทุกที่ อีกอย่างคือ หากต้องการซื้อสินค้าที่อยู่ในลิสต์ต้องห้าม คุณสามารถเอาเงินสดไปซื้อได้ แล้วค่อยใช้เงินดิจิทัลไปซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคแทน การจะเอาเงินดิจิทัลไปแลกเงินสดในมูลค่าที่ลดลง ถือเป็นเรื่องไม่ฉลาด

อีกประเด็นคือ เรามีระบบการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ข้อมูลในระบบไม่หาย เช่น ร้านค้าร้านหนึ่ง ปกติขายได้เฉลี่ย 4,000 แต่อีกวันขายได้กระโดดไป 80,000 ระบบจะต้องแจ้งเลย แล้วหน่วยงานก็จะต้องไปตรวจสอบ หากพบว่าไม่ได้มีการซื้อขายสินค้าจริงก็จะดำเนินการ ซึ่งในอดีต เคสที่รัฐดำเนินคดีและเรียกเงินคืนรวมทั้งตัดสิทธิ

ด้านนายสรยุทธถามต่อว่า ในมุมของร้านค้าร้านเล็ก เนื่องจากกว่าจะได้เงินสดก็นาน ร้านจะไม่มีเงินสดไปซื้อกับร้านรายย่อยอื่น ๆ ได้ แบบนี้สุดท้าย เงินก็จะหมุนเข้าสู่ร้านใหญ่ นายจุลพันธ์ก็ตอบว่า ร้านรายย่อยสามารถขึ้นทะเบียนกับเราได้ เพื่อให้มีตัวเลือกที่กว้างขึ้น และเราจะดึงซัพพลายเชนเข้ามาถึงผู้บริโภคดีขึ้น ทำให้เกิดความคล่องตัว อีกอย่างคือ เงินสดในระบบมีอยู่ 10 ล้านล้าน ส่วนเงินดิจิทัลนั้นเพียง 5 แสนล้าน ดังนั้นเงินในระบบไม่ได้หายไปไหน ดังนั้น การที่ร้านไปซื้อข้าวของมาขาย ไม่จำเป็นต้องใช้ดิจิทัลวอลเล็ตทุกเคสอยู่แล้ว

สุดท้าย นายจุลพันธ์ยืนยันว่า เชื่อว่าหลังจากรัฐบาลแถลงครั้งล่าสุด จะเกิดผลในทางบวกต่อเศรษฐกิจ เมื่อทุกคนรู้ว่าช่วงปลายปีเงินจะลงมา จีดีพีปีนี้ขยับแน่นอน ร้านค้าและโรงงานต้องเริ่มผลิตสินค้า ขยับจ้างงาน และหลังจากนั้นจะเกิดผลเต็มรูปแบบ และคาดว่าประชาชนจะได้ทันใช้เงินดิจิทัลก่อนสงกรานต์และปีใหม่

โทรหมื่นสาย/วัน เบื้องหลังโฉ่ พ.ต.ท. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สะเทือนถึงรัฐบาล

เจาะเบื้องหลัง รวบ พ.ต.ท. เชียงใหม่ โยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จ่อให้ออกจากราชการไว้ก่อน ชี้ หลักฐาน SIM BOX 12 เครื่อง ใช้โทรวันละเป็นหมื่นสาย เร่งตรวจสอบชายแดน…  

มุกประจำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในการข่มขู่ และหลอกลวงประชาชน คือการอ้างตัว เป็น “ตำรวจ” หรือ หน่วยงานด้านการสืบสวน จับกุมในการทำผิดกฎหมายทางใดก็ทางหนึ่ง

แต่กับข่าวล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ กลายเป็นว่า “ตำรวจ” ซึ่งมียศถึง พ.ต.ท. หรือ สารวัตร ที่ จ.เชียงใหม่ กลายเป็นผู้ต้องหานำเครื่อง SIM BOX ที่ทำหน้าที่ ขยายสัญญาณ รันหมายเลข เป็นเบอร์ในประเทศไทย คล้ายเป็นการ “อำนวยความสะดวก” ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาหลอกลวงคนไทย ซึ่ง 1 วัน สามารถโทรหาคนอื่นได้ถึงหมื่นสาย มาตั้งในสถานที่ของตนเอง และอ้างว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร” เป็นคุณ คุณจะเชื่อไหม…?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “เรา” ได้พูดคุยกับ พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ที่ร่วมจับกุมและสอบสวนในวันนั้น มาเล่าเบื้องหลังและความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีนี้…

พล.ต.ต.วีรชน เผยว่า สิ่งที่เขาอ้าง อ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร ซึ่งการที่เป็นตำรวจ ไม่อ้างอะไรแบบนี้ไม่ได้ ขนาดประชาชนยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราทำในเวลานี้ คือ การหาหลักฐานต่างๆ ทั้งเส้นทางการเงิน โทรศัพท์ การติดต่อสื่อสารต่างๆ รวมถึงภาพกล้องวงจรปิด

“ตอนนี้มีการขยายผล และเตรียมออกหมายเรียก หรือหมายจับ เพิ่มเติม โดยเฉพาะผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม ทั้งคนไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำเครื่อง SIM BOX เข้ามา โดยเส้นทางที่เข้ามานั้น น่าจะมาจากจีน และเข้าไทยในทางแม่สาย ด้วยช่องทางที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะลูกสาวที่ให้การว่า ตอนแรกไม่รู้จะนำเครื่องนี้ไปวางไว้ไหน เลยให้พ่อจัดการหาที่วางให้ ซึ่งเครื่องชุดแรก จึงนำมาวางในห้องลูกสาว จำนวน 4 เครื่อง”

จากนั้นก็มีการขนเครื่อง SIM BOX ชุดอื่นๆ มาอีก 8 เครื่อง รวมเป็น 12 เครื่อง โดยกระจายไปวางในจุดอื่น เนื่องจากไม่ให้ความถี่มันเต็ม เพราะ 1 เครื่อง สามารถโทรพร้อมกันได้ 32 เบอร์ ดังนั้น หากรวมกัน 12 เครื่อง จะโทรพร้อมกันได้ 384 เบอร์ โดยเบอร์จะรันไปเรื่อยๆ

“การทำงานของเครื่องนี้มันใช้ระบบออโต้ คอยรับส่งสัญญาณจาก “เครื่องแม่” อยู่ต่างประเทศ ที่คอยรับสัญญาณและแปลงเป็นเบอร์โทรศัพท์ไทย ฉะนั้น ตอนที่จับ เราเจอแค่คนเฝ้าไม่กี่คน คอยดูแลเรื่องระบบไฟฟ้า เปิดพัดลม ดูแลอินเทอร์เน็ต”

ข้อหาหลักในการดำเนินคดี 

1. ร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต

2. ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต

3. ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาต

ฟังแล้ว ข้อหาไม่หนักเท่าไร พล.ต.ต.วีรชน ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น โดย 2 ข้อหา จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำและปรับ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะรอลงอาญา

ตอนนี้เรากำลังดำเนินการในข้อหาอื่นๆ โดยเฉพาะการพิสูจน์ในเรื่องข้อหาเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากเข้าข่าย ก็จะเป็นเรื่อง “ฉ้อโกงประชาชน” โดยเวลานี้จะต้องส่งเครื่องไปตรวจสอบ เพื่อหาหมายเลขที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงประชาชน หากพบว่ามีผู้เสียหาย หรือเกี่ยวข้องกับการหลอกให้โอนเงิน เราก็จะดำเนินการเพิ่ม

“หากพิสูจน์แล้วว่ามีคนเคยมาแจ้งความ ว่าถูกเบอร์โทร ที่ผ่านเครื่องนี้ เราก็จะจัดการแจ้งข้อหาเพิ่มทันที! โดยเฉพาะการสนับสนุน หรือเป็นตัวการร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

กรณี ภาค 5 มีการกวดขันอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ รอง ผบช.ภ.5 บอกว่า เมื่อวานได้ไปตรวจสอบที่บริเวณชายแดนไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่บริเวณเชียงแสน โดยเฉพาะ “เสาสัญญาณ” ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดน เรื่องนี้เราต้องประสานหน่วยงานอื่น เช่น กสทช. และหน่วยงานเอกชนที่ให้บริการ ต้องร่วมตรวจสอบด้าน “เทคนิค” การส่งสัญญาณข้ามประเทศ เราต้องป้องกันไม่ให้คนต่างประเทศ เข้ามาใช้ “เสาสัญญาณ” ของเรา โทรเข้ามาหลอกลวงคนไทย เพื่อให้ขึ้นเบอร์ไทย

“เขาไม่จำเป็นต้องวาง  SIM BOX ในไทยก็ได้ หากเขาเกี่ยวสัญญาณในประเทศไทยได้ เขาอาจจะเลือกวางไว้ที่ชายแดนก็ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือ เราต้องไม่ให้สัญญาณของเรา ไปถึงต่างประเทศ เพราะหากมันเกี่ยวได้ มันก็จะขึ้นเบอร์ไทย…”

พล.ต.ต.วีรชน กล่าวว่า ตอนนี้เรายังไม่ทราบมูลค่าความเสียหาย เนื่องจากเรายังไม่รู้ว่า ใครโดนเคสนี้หลอกบ้าง ซึ่งเราทราบว่า แต่ละวันมีการโทรหาคนอื่นนับหมื่นสาย และทำมาแล้ว เดือนกว่าๆ และเชื่อว่าเป้าหมายหลักก็คือการหลอกลวงคนไทย

“ส่วนคนที่เป็นตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น เรื่องนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการกำชับหนักแน่นอยู่แล้ว และเท่าที่ทราบ เคสนี้กำลังดำเนินการเรื่องการ “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” ซึ่งเรื่องนี้ คงต้องรอหนังสืออย่างเป็นทางการต่อไป”

“ตำรวจ” เป็นเสียเอง เสียหายถึง นายกฯ

ด้าน ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตรองผู้บัญชาการ สำนักงานกฎหมายและคดี และอดีต รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 มองว่า เรื่องนี้ภาพลักษณ์ตำรวจเสียหายหนักมาก และส่งผลเสียไปถึงรัฐบาลด้วย เนื่องจากเป็น นโยบายรัฐบาลในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน แต่ปรากฏว่า ปราบปรามไม่ได้ผล รวมๆ ได้ผลไม่ถึง 20%

“ปราบไม่ได้ไม่พอ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรจะเป็นคนปราบแต่ทำเสียเอง แบบนี้เสียหายขนาดไหน เหมือนเป็นการตบหน้าผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนในรัฐบาล รวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่สนองนโยบาย แถม พ.ต.ท. คนนี้ทำเสียเอง เรียกว่า ไม่ไว้หน้า ผบ.ตร. หรือ นายกฯ เลย ถ้าเขาไว้หน้า เขาจะไม่ทำ การอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร เป็นตำรวจ ยศถึง พันตำรวจโท…นี่จับสลาก ได้มาหรือ”

รัฐบาลเพิ่งจะแถลงนโยบายไป 3 เรื่อง คือ

1. ยาเสพติด 

2. เว็บพนัน 

3. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ยาเสพติด ยาบ้าตอนนี้ ซื้อ 1,000 เม็ดขึ้นไป ขายเม็ดละ 5 บาท ซื้อ 500 เม็ด ขายเม็ดละ 7 บาท ตอนผมเป็นผู้การอ่างทองยาบ้า เม็ดละ 350 บาท นะ แปลว่ามันซื้อยากแค่ไหน” 

ผู้การวิสุทธ์ อธิบายว่า หากพื้นที่ไหน ติดชายแดน มักจะเป็นที่ทำการของสิ่งผิดกฎหมาย สำหรับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีมากที่สุด ในประเทศเพื่อนบ้านคือ พม่า รองลงมา กัมพูชา และลาว สาเหตุที่พม่า มีพื้นที่ติดชายแดนกับไทยมากที่สุด ยาวที่สุด ฉะนั้น เซิร์ฟเวอร์หลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนมากจะอยู่ฝั่งนู้น และที่สำคัญ คือ สามารถใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่บางคนฝั่งนู้นได้ โดยเฉพาะเวลานี้ มีการแบ่งฝักฝ่ายออกเป็นหลายก๊ก ตอนนี้กำลังรบกันอยู่ หากมีการจ่ายเงินให้ เขาก็อาจจะดูแลความปลอดภัยให้..”

ผู้การวิสุทธิ์ ย้ำว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเวลานี้ กว่า 90% เป็นกลุ่ม จีนเทา ทั้งนั้น ที่สำคัญ คือ หากในภูมิภาคนี้ เป้าหมายหลักก็คือ ประเทศไทย สาเหตุเพราะเรามีความพร้อมทุกๆ อย่าง ทั้งระบบธนาคาร การโอนเงิน และเงินทอง

จะมาหลอกพวกพม่า ก็ไม่รู้จะหลอกยังไง เพราะระบบมันก็ยังไม่พร้อม เงินมันก็ไม่ค่อยจะมีให้หลอก…

อีกปัจจัยที่ทำให้คนไทย โดนหลอกง่าย คือ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน, ความอีรุงตุงนังในระบบราชการไทย มันซับซ้อน ตำรวจ ดีเอสไอ สรรพากร ป.ป.ช. ปปง. เรียกว่ามีหน่วยงานเยอะแยะ ทำให้มีเงื่อนไขในการหลอกเยอะ

นอกจากนี้ คนไทยที่รวยๆ บางคนก็มีแผลทั้งนั้น ทำธุรกิจสีเทา สีดำ ทำให้มีโอกาสถูกข่มขู่ หรือหลอกก็มากขึ้น แม้ว่าคนที่ทำจะไม่โดนหลอก แต่ญาติพี่น้อง คนที่ได้เงินมา โดยไม่รู้ที่มาที่ไปของเงิน หรือพอรู้ว่าลูกหลานทำอะไรไม่ดี แก๊งพวกนี้ มันก็โทรหา คนแก่ อ้างว่าลูกทำผิดกฎหมาย ก็หลงเชื่อมีโอกาสโดนหลอก

ที่สำคัญ คือ เรื่องบัญชีม้า ประเทศเราเปิดบัญชีกันง่าย เท่าที่รู้มา คือ ตอนนี้เรามีบัญชีม้ากว่า 5 แสนบัญชี ซึ่งตอนนี้ก็ยกระดับ การเป็นบัญชีนิติบุคคล เป็นม้าอีก เรื่องนี้ระบบธนาคาร ต้องไปช่วยกันแก้ปัญหา

“นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารบ้านเมือง ประเทศชาติ ขอให้บริหารด้วยความกล้า และการกระทำ ไม่ใช่การบริหารด้วยลมปาก และวาจา เมื่อสั่งการนโยบายไปแล้ว ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างต่อเนื่อง ลงโทษ ขรก.ไม่สนองนโยบาย ใครทำดี ให้รางวัล ใครไม่ดี ต้องลงโทษ”

หนุ่มทำคอนเทนต์ วิ่งขายของในติ๊กต็อก สุดท้าย ทำพระเครื่องดัง 2 แสน หล่นหาย

เฮียโหน่ง กิ่งแก้ว สายตรงหลวงพ่อกวย เซียนพระดัง ทำคอนเทนต์ไวรัล วิ่งขายของในติ๊กต็อก สุดท้ายทำพระเครื่องดัง 2 แสน หล่นหาย ปาฏิหาริย์ หาเจอทั้ง 3 องค์

กรณีผู้ใช้ติ๊กต็อก @pobb55 โพสต์คลิปเหตุการณ์ ขณะที่กำลังถ่ายวิดีโอคอนเทนต์วิ่งขายพระเครื่อง จนพลาดทำพระหล่นหาย มูลค่าเกือบ 2 แสนบาท พร้อมระบุคำบรรยายว่า “คอนเทนต์นี้ ทำให้พระผมหล่นหาย มูลค่าเกือบ 2 แสน คลิปนี้ผมก็ตั้งใจทำ ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยครับ” นั้น

เมื่อวันที่ 24 ก.ค.67 คุณโหน่ง อายุ 39 ปี เจ้าของโพสต์ดังกล่าว เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ ระบุว่า ตนเป็นเซียนพระ สายตรงหลวงพ่อกวย ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับพระเครื่องลงในช่องติ๊กต็อก ชื่อว่า ‘เฮียโหน่ง กิ่งแก้ว 195’

เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นช่วงวันหยุดยาว พาครอบครัวไปเที่ยวที่เขายายเที่ยง แต่ผ่านเขาใหญ่พอดี เลยแวะไปแถวตรงข้ามเยื้องๆ กับหอดูสัตว์หนองผักชี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหญ้าเยอะๆ ตนเห็นว่าบรรยายกาศดี เลยจะทำคลิปคอนเทนต์ลงติ๊กต็อกเกี่ยวกับคนวิ่งขายดอกไม้ที่ในโลกโซเชียลนิยมกัน เนื่องจากเตรียมพระติดตัวมาด้วย เพราะเป็นพระที่มีราคาเลยกลัวหาย ถ้าทิ้งไว้ที่บ้าน

คุณโหน่ง กล่าวต่อว่า เมื่อเริ่มถ่ายคลิปกัน มีการถ่ายหลากหลายฉาก วิ่งแล้วก็ล้มแล้วก็วิ่งใหม่ โดยลูกชายเป็นคนถ่าย ซึ่งตอนถ่ายตนก็ไม่ได้ระวังตัว ไม่ได้โฟกัสว่าพระจะหล่นหาย พอถ่ายคอนเทนต์เสร็จ ก็ปิดกล่องพระเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อไปเขายายเที่ยงกันต่อ โดนไม่ได้นับจำนวนพระ

เมื่อลงจากเขาใหญ่มาประมาณ 20 นาที ซึ่งถือว่าไกลมาก อยู่ๆตนก็รู้สึกว่า พระอยู่ครบหรือเปล่า เลยหยิบถาดพระขึ้นมาดู เหรียญหลวงพ่อกวย พระปี 18 มูลค่าแสนกว่าบาท ซึ่งตนเล่นหลวงพ่อกวยอยู่แล้วเป็นประจำ และเพิ่งเช่าพระองค์นี้เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา

ปรากฏว่าเหรียญดังกล่าวหายไปจากถาด รวมถึงพระอีก 2 องค์ คือหลวงพ่อเดิม และหลวงพ่อปาน ตนและครอบครัวเลยตัดสินใจกลับรถเพื่อขึ้นไปเขาใหญ่ ที่จุดเดิมตรงที่ถ่ายคอนเทนต์ แล้วช่วยกันหาอยู่นานมากประมาณชั่วโมงกว่า

ระหว่างหาพระที่หายไป ตนก็นึกถึงบารมีหลวงพ่อกวย ขอให้ได้เจอ อยากได้เหรียญกลับคืนมามาก อย่างน้อยเจอแค่เหรียญหลวงพ่อกวยองค์เดียวก็พอ อีก 2 องค์ไม่เจอก็ไม่เป็นไร จนเวลาประมาณ 13.44 น. ก็หาพระเจอองค์แรกคือ พระหลวงพ่อเดิม เลี่ยมทอง และเจอพระหลวงพ่อกวย ซึ่งตกอยู่บริเวณใกล้ๆกัน

ส่วนอีกพระหลวงพ่อปานนั้นยังหาไม่เจอ แต่เมื่อเจอหลวงพ่อกวยองค์เดียวก็พอใจแล้ว เลยตัดสินใจเดินทางออกจากเขาใหญ่ แล้วไปเที่ยวกันต่อที่เขายายเที่ยง

ต่อมาวันที่ 22 ก.ค. ก่อนเดินทางกลับบ้าน แฟนของตนบอกว่า ให้ลองไปหาอีกรอบนึง จึงมาหาพระหลวงพ่อปาน มูลค่า 40,000 กว่าบาท ตรงบริเวณจุดเดิมที่หาย โดยก่อนจะหา บอกกล่าวเจ้าพ่อเขาใหญ่ เจ้าที่เจ้าทาง ให้ช่วยเปิดทางให้ เพื่อที่ตนจะได้มองเห็นพระที่หายอีกองค์นึง รวมถึงแฟนของตนก็บนหลวงพ่อกวยไปว่า ถ้าเจอครบทั้ง 3 องค์ที่หายไป จะไปถวายแผ่นทอง 20,000 แผ่น ที่วัดโฆสิตาราม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเปอร์เซ็นต์ที่จะเจอเหลือน้อยมาก เพราะผ่านมาหลายวันแล้ว ช่วงนั้นคนมาเที่ยวเขาใหญ่เยอะ ตนจึงไม่ได้คาดหวังมาก หาไปก็ไลฟ์สดไป อยู่ๆ แม่ของตนก็เจอพระหลวงพ่อปานที่หายไป อันสุดท้ายในที่สุด ทุกคนก็ดีใจกันใหญ่เลย

“ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะตอนแรกคิดว่าน่าจะมีคนจะหยิบไปแล้ว ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ส่วนตัวลึกๆแล้วคิดว่า เป็นเพราะเจ้าพ่อเขาใหญ่ ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ช่วยให้เจอพระองค์สุดท้าย พร้อมบอกว่า “พูดแล้วยังขนลุกขึ้นหัวอยู่เลย” รวมถึงบารมีหลวงพ่อกวยที่แฟนบนไว้ พอลงคลิปในติ๊กต็อกไปก็มีคนมาคอมเมนต์ให้กำลังใจกันเยอะมาก” เซียนพระดัง กล่าว

คุณโหน่ง ยังบอกว่าอีกว่า ถ้ามารู้ตัวว่าพระหายไปตอนกลับถึงบ้านแล้ว ตนอาจจะไม่ได้กลับไปหาอีก ถึงแม้ว่ามูลค่าพระกว่า 2 แสนบาท แต่เหมือนกับว่าเราหมดหวังแล้ว สถานที่ก็ไกลด้วย ก็ไม่รู้อะไรเหมือนกันที่ดลใจให้ กลับไปหาพระอีกครั้ง

“ยอมรับว่าคิดน้อยไปหน่อย ไม่ได้ระวังว่าพระจะหล่นหาย แต่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์และความเชื่อ ถ้ามีความเชื่อเราก็มีความหวัง ความเชื่อเพียงเปอร์เซ็นต์ นึงก็ทำให้มีความหวังได้ เหมือนที่ผมได้พระคืนครบทุกองค์” คุณโหน่ง กล่าว

Popular Posts

My Favorites

กรมอุตุฯ ประกาศแล้ว รายชื่อจังหวัดต่อไปนี้ เตรียมรับมือฝนถล่ม

0
วันที่ 2 สิงหาคม 2567 กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร...