ประเด็นทางการเมืองยังคงถูกจับตาจากสังคมและโลกโซเชียล ล่าสุด ทางด้าน ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงพรรคประชาชนว่า”ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา ผ่านไปไม่กี่วัน คุณเท้งแห่งพรรคประชาชนก็ต้องสาละวนรีบแถลงข่าวเสียงหลงเสียแล้ว
เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ“ไม่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง“แต่ให้อำนาจรัฐสภาเป็นผู้แก้ไขเพิ่มเติมได้ พูดจาภาษาชาวบ้าน
คือ ประชาชนไม่มีสิทธิโดยตรง แต่ให้ ส.ส. และ ส.ว. เป็นผู้เลือก สสร. ชาวบ้านเขารู้กันทั้งบางว่า “ใครเป็นไอ้โม่งคุมคะแนนเสียง ส.ว. อยู่” คงมีแต่พรรคประชาชนไม่รู้อยู่พรรคเดียวมั้ง
ไหนจะต้องทำประชามติอีก 3 ครั้ง แม้ครั้งที่ 1 กับ 2 จะทำพร้อมกัน แต่เป็นช่องทางให้เห็นว่า “ไม่สามารถทำตามเงื่อนไข 4 เดือน ที่กำหนดไว้ใน MOA ได้“
คุณอนุทินพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่ได้เป็นผู้ทำผิดเงื่อนไข แต่เป็นเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมา แม้คุณเท้งรีบออกตัวว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ปิดช่องให้ สสร.
มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” แล้วเดินวนเวียนขึ้นลงโพเดียมพร้อมพลพรรควอลเปเปอร์แก้ตัวเป็นพัลวัน ไม่เป็นอันทำมาหากินเรื่องเดือดร้อนของชาวบ้าน
แต่คนฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เข้าใจชัดเจนว่า “ประชาชนเลือก สสร. เองไม่ได้” แท้จริงแล้วมันเสมือนเป็น ”เกมของผู้ใหญ่“ ที่รับเงื่อนไขของเด็กไว้ก่อน
แล้วไล่เด็กที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวให้ไปเล่นกันที่อื่น เริ่มต้นยังไม่ทันตั้งไข่ก็วุ่นวายขนาดนี้ นี่ยังมีพรรคร่วมรัฐบาลบอกอีกว่า จะรีบทำไม่ได้ ต้องระมัดระวัง
และปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล พรรคประชาชนที่ออกตัวทำเงื่อนงำ MOA ให้ดูเหมือนขงเบ้งในเรื่อง “สามก๊ก” แต่ภายหลังกลับต้องมาคร่ำครวญในใจว่า “นี่คงเป็นชะตาคราวเคราะห์ของเราเสียแล้ว”
ผมจึงเตือนนักเตือนหนาว่า พรรคประชาชนพลาดกับเงื่อนไขที่เคยพูด “พรรคไหนรับได้ ก็ได้เสียงโหวตให้เป็นนายกฯ” ช่างดูพาวเวอร์ฟูลเสียเหลือเกิน แต่ในทางปฏิบัติมีปัจจัยอื่น
ที่พรรคแกนนำเอามาเป็นข้ออ้างบังหน้าได้อีกมากมาย หรือหากเล่นเกมล้ำลึกไปกว่านั้น ก็ทำทีตั้งโต๊ะกระตือรือร้นปรึกษาหารือกันทุกฝ่าย
แต่ท้ายสุดลงเอยที่ว่า “มันไม่ทันเอาจริงๆ 4 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญท่านว่ามาแบบนี้ ไม่ปฎิบัติตามได้ไง มันผูกพันทุกองค์กร“ พูดเป็นเน็ตค้างจอเหมือนกันหมด
ค่าโง่ของพรรคประชาชนจึงเริ่มโผล่มาให้เห็น สิ่งที่จะทำได้ ก็แค่รีบออกมาแก้ตัวจ้าละหวั่นรายวัน มีประโยชน์อันใดเล่า กับการตั้งเงื่อนไข และการตัดสินใจของพรรคประชาชน
ที่โหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ ? นักการเมืองเขี้ยวลากดินย่อมมองออกว่า ให้รับๆ ไปก่อน แล้วตามน้ำไป พรรคประชาชนเองนั่นแหละที่ต้องมาวิ่งวุ่น เล่นเกม “มอญซ่อนผ้า” อยู่แบบนี้
ถามจริงๆ จะไปหาเรื่องเข้าตัวทำไม? ยุบสภาไปเลยง่ายกว่าเป็นไหนๆ แต่มันช้าไปแล้วโยมเอ๋ย! ยิ่งเวลาทอดยาวมากขึ้นเท่าไหร่ พรรคภูมิใจไทย
และพรรคร่วมจะสะสมกำลังไพร่พลเสบียงกรังได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อรอวันเลือกตั้งให้พร้อมสุดๆ ในขณะที่คะแนนของพรรคประชาชนจะสาละวันเตี้ยลงทุกวี่ทุกวัน
ไปกับ ”เงื่อนไข MOA“ ที่โชว์ค่าโง่ให้ประชาชนทั่วไปได้เห็น ต้องนั่งแก้เกมไปวันๆ เพื่อรับผิดชอบกับการกระทำที่ไปโหวตให้ “หนูขึ้นเป็นราชสีห์“ผู้คน และการเดินทาง
คือ อุดมการณ์ที่หลุดลอย เดินหลงทาง ตอนชูมือโหวตให้คุณอนุทินเป็นนายกฯการเมืองของพรรคประชาชน จึงเป็นเกมที่คนแก่ในวงการเมืองเล่นมาตั้งแต่พวกเด็กอย่างพรรคประชาชนยังไม่เกิด
ส่วนประชาชนคนทั่วไปได้แต่ร้องว่า”ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไป ไหงกลายเป็นบ้องกัญชา”แล้วเป็นของชอบพรรคภูมิใจไทยเขาเสียด้วย
ขอบคุณข้อมูล: ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์