บทชุบชีวิต “มิ้น มิณฑิตา” กระแสปังใน “ทองประกายแสด” เมินโดนเมาท์คบ “ซิลวี่” เพราะผิดหวังจากผู้ชาย !! ล่าสุดเป็นอิสระแล้ว
“มิ้น มิณฑิตา” นักแสดงสาวสายฮาที่วันนี้เปิดใจครั้งแรกหลังกลับมาปังอีกครั้งกับบทผู้จัดสาวในละครกระแสดี ทองประกายแสด พร้อมเปิดเส้นทางความรักกับนักร้องสาวเสียงดีซิลวี่ ภาวิดา ที่คบหากันมายาวนานกว่า 4 ปี ท่ามกลางเสียงเมาท์ว่าผิดหวังจากผู้ชายจนต้องมาคบกับผู้หญิง เตรียมแต่งงานหลังมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ? ในรายการคุยแซ่บShow
ก่อนหน้านี้ คุณดาว เป็นไวรัลขึ้นเต็มฟีดไปหมดในทองประกายแสด ?
มิ้น : ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องผมม้าเต่อเป็นหลัก (หัวเราะ) เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด เรื่องนี้เรารู้ว่าเราไปเล่นนิดเดียวกึ่งรับเชิญเลยไปเล่นแค่ 4-5 ตอน แต่ว่าตั้งแต่อ่านบทแล้วพอรู้ว่าเล่นบทเป็นตัวนี้ก็ตื่นเต้น บทมันแซ่บ
ตอนที่เล่นฉากเหล่านั้นไปรู้สึกยังไงบ้าง ?
มิ้น : มันสะใจ คือบทนี้มันมีจุดที่เราจะต้องเป็นคนโง่เยอะเหมือนกันแล้วเราก็เป็นคนฉลาดได้ถึงจุดนึง เลยมันมีโมเมนต์ที่เรารู้สึกที่เราสะใจในการแสดงเยอะมาก ที่สำคัญมันชาลเลนจ์ตัวเองต้องเล่นเป็นบทลูกคุณหนูผู้ดีบ้านมูลค่า 4 พันล้าน
มี FC ต่างประเทศเข้ามาด้วย ?
มิ้น : ได้สื่อสารเพิ่มเติมกับหลายๆ ท่านที่ติดตามทาง IG/TikTok หลายๆท่านก็เป็นประเภทเพื่อนบ้านเรา เราเหมือนได้เกิดใหม่ในวงการบันเทิง เท่าที่เห็นก็มีทางเมียนมา เวียดนาม แล้วก็หลายประเทศที่พิมพ์เข้ามาคุยกัน มิ้นรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ใหม่ วันที่เราเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ เราไม่ได้มีโอกาสได้มีงานไปให้คนต่างชาติเพื่อนบ้านเราได้เห็น ตอนนี้มีคนมาทักเราที่เป็นเพื่อนบ้าน เราก็รู้สึกตื่นเต้นจัง ส่วนใหญ่ไม่ชมก็ด่าเรื่องทรงผมพี่ดาว(ยิ้ม)
ตอนที่รับบทนี้คิดมั้ยว่าบทนี้จะทำให้เราดัง ?
มิ้น : เราผ่านความคาดหวังมาเยอะเหมือนกันในวงการบันเทิงเวลาเราเล่นละคร ทุกๆ เรื่องจะมีโมเมนต์ที่เราคิดไม่ถึงขั้นคาดหวังว่าจะเป็นยังไง มันจะมีโมเมนต์ที่เราคิดว่าสงสัยอันนี้น่าจะมามากเลย เราทำงานตรงนี้ชื่อเสียงมันเป็นสิ่งเราคาดเดาไม่ได้ 100% เราแค่ทำหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ อย่างคุณดาวสุดท้ายมันก็เป็นพื้นที่ที่เราได้ทำในสิ่งที่เราตื่นเต้น เราได้เล่นบทที่ชาลเลนจ์เป็นผู้ดี ผู้จัด เป็นผู้ใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปมความรัก ตัวละครตัวนี้มันมีน้ำหนักในการใช้ชีวิต ถึงแม้เราออกไม่เยอะแต่สนุกมากเลยไม่ได้คาดหวังมันจะดัง ไม่ดัง คาดหวังว่าเราได้เล่นแล้วทำให้มันเต็มที่
“ใบเฟิร์น” เป็นคนที่เราอยากร่วมงาน พอได้เจอกันเป็นยังไงบ้าง ?
มิ้น : บอกตรงๆ มีฉากบางฉากที่เป็นฉากแรกที่เราถ่าย จะพูดไม่ค่อยชัดหน่อย ดูเหงื่อแตกหน่อย ตื่นเต้น จริงๆเราเป็นตัวละครที่ต้องพลังใหญ่กว่าเขา เพราะเราเป็นผู้จัดแล้วเขาเข้ามาแคสต์เป็นนักแสดงในสังกัดเรา มันจะต้องมีออร่าของความไม่กลัวเขาแต่ข้างในกลัว มันเกร็ง ตื่นเต้นแล้วน้องเขาเก่ง
เป็นนักแสดงอิสระมากี่ปีแล้ว ?
มิ้น : ไม่นานค่ะ ปีกว่าๆ
อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจไม่อยู่กับค่ายแล้วอิสระดีกว่า ?
มิ้น : มิ้นจะมีความเป็นนักแสดงอิสระประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ได้เล่นหลายที่ คือตอนที่มิ้นเซ็นอยู่กับพี่หน่อง พี่หน่องใจดีกับมิ้นมาก มิ้นมีอิสรภาพสุดใจเลย ไปไหนก็แค่บอกพี่หน่อง พี่หน่องคะมิ้นจะไปเล่นเรื่องนี้ พี่หน่องก็จะช่วยรีวิว โอเคเรื่องนี้ดีลูกไปเลย อาจจะเพราะมิ้นไม่ได้เล่นเป็นนางเอกด้วยก็เลยอยู่ในจุดที่ค่อนข้างมีอิสระประมาณหนึ่ง ได้มีการต่อสัญญากันมา 3 รอบแล้ว อยู่มา 11 ปีแล้ว เป็นครอบครัวกันแล้ว
แล้ววันที่ไม่ต่อสัญญาเราบอกเขายังไง ?
มิ้น : อาจจะด้วยวิธีที่เราคุยในช่วงเวลาที่ผ่านมามีพื้นที่ที่รู้สึกว่าไม่ได้มีการว่าต้องต่อแล้วนะ เป็นคำถามว่ามันจะหมดสัญญาแล้วลูกมาเซ็นมั้ย ก็เลยเป็นฟีลว่างั้นเราก็ไม่ต้องเซ็นกันแล้วก็ได้เนอะเพราะว่าอยู่กันมา 11 ปีแล้ว มีความรู้สึกว่าพี่หน่องโทรมาไปไหนได้หมด แล้วเชื่อว่าพี่หน่องก็รู้ว่าโทรมาปุ๊บหนูไปทันที
เรื่องความรักคบกันมากี่ปีแล้ว ?
มิ้น : คบกันมา 4 ปีแล้ว
จุดเริ่มต้นเริ่มคืออะไรกับความรักครั้งนี้ ?
มิ้น : มันก็เป็นพรหมลิขิต เราเป็นคนบ้าคลั่งกับพรหมลิขิต ถ้าเกิดเจอแล้วใช่ไปต่อได้แล้วจะไปต่อเลย แต่ถ้าเกิดต้องพยายามในแง่จีบอยู่นั่น มันจะทำลายบรรยากาศอะไรซักอย่าง
เราไปส่อง IG เขา แล้วหลงรักใน IG ?
มิ้น : ตอน IG เราแค่รู้สึกว่าเขาน่ารักแบบไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ฟีลรู้ว่าน้องเป็นใคร เป็นศิลปินนะ แต่ว่าไม่เคยคิดในเชิงว่าจะเป็นแฟน แค่ว่าน้องเท่ห์ดี ตามใน IG กดไลค์บ้าง แอบหยอดบ้าง คอมเม้นท์แซวน่ารักจังเลย ขออ้อนหน่อยได้มั้ย ก็พูดเล่นไปเรื่อย ยังไม่ได้คิดอะไรเลย
จุดไหนที่ทำให้เราเริ่มชอบเขาหรือตกหลุมรักเขา ?
มิ้น : เรามารู้ตอนที่คบกันไปนานแล้วว่าเขาไปบอกเพื่อนเรา เขาถามว่ามิ้นชอบผู้หญิงมั้ย สุดท้ายเพื่อนก็จับให้เจอกันโดยที่ไม่ได้บอกเราทั้งคู่แล้วเราก็เลยได้เจอกันในพื้นที่ที่เราไม่ได้คาดหวังว่ามันมีอะไรระหว่างเรา เห็นสายตาแล้วรู้สึกว่าเรากับเขารู้สึกอะไรบางอย่าง
ก่อนหน้านี้เคยคบผู้หญิงมั้ย ?
มิ้น : ไม่เคย ไม่มีเลย ผู้ชายล้วนๆ ไม่เคยคบผู้หญิงมาก่อน ไม่เคยแม้แต่เป็นคนคุย
ไม่แปลกใจตัวเองหรอกับความรักครั้งนี้ ?
มิ้น : ไม่ค่อยแปลกใจ คือไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันมีพื้นที่ที่มิ้นรู้สึกว่ามิ้นไม่ได้เชื่อว่าเราเกิดมาเพื่อคู่กับคนที่สังคมบอกให้คู่ เธอเป็นดาราในมุมของสังคมที่เราจะได้ยินบ่อยๆก็คือก็ต้องคบกับไฮโซผู้ชายมีชาติตระกูลเลี้ยงดูเรามันจะมีความคิดเดิมๆที่เราต้องทำ อย่างตัวมิ้นเองเป็นแค่คนโรแมนติกมั้ง รู้สึกว่าอยากเจอคนที่ใจเรากับเขาเข้ากันได้พาให้จิตวิญญาณเราโตได้ทั้งคู่แบบนี้มากกว่า คิดมาตลอดว่าเราชอบคนที่ไม่ใช่เพศตรงข้ามได้ บางทีก็เคยมีตกหลุมรักพี่เกย์ท่านหนึ่ง มันมีตอนสาวๆ เราก็รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชายตาเลย
ซิลวี่เขาแตกต่างจากคนที่เราเคยเจอยังไง ในพาร์ตของความรัก ?
มิ้น : จริงๆ แล้วไม่มีใครเหมือนกันเลยแล้วมันเหมารวมในแง่เพศไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรทุกคนไม่เหมือนกันเลย ทุกคนที่ว่าไม่เหมือนกันเขาก็ไม่เหมือนกันผ่านเราด้วยที่ไม่เหมือนเราแล้วในอดีต วันที่เรา 15 เรามีแฟนก็เป็นคนคนหนึ่ง วันนี้เรา 36 ตอนนี้คบกับซิลมา 4 ปี แม้แต่ตอนนี้มิ้นกับซิลก็ไม่เหมือนคนที่เจอกันวันแรก เราเปลี่ยนตัวเอง เราโตขึ้นเราไม่เหมือนเดิมกันไปเยอะ มิ้นรู้สึกว่าเรามีพื้นที่เปิดกว้างนี้ ซิลเป็นซิลได้โดยที่ไม่ต้องอยู่ในจุดที่กำหนดว่าเขาเป็นเพศอะไร บางการกระทำของเขาบางทีอาจจะดูแมน มิ้นก็มีมุมแบบนั้นเหมือนกัน พอเราปรับเข้าหากันตลอดเวลามันก็จะไม่ได้อยู่ในจุดที่เธอต้องเป็นแมนในความสัมพันธ์ ฉันเป็นแมนหรือเธอเป็นแมน มันไม่มี มันเป็นผู้หญิงทั้งคู่
เราเป็นคนขอเขาเป็นแฟน ?
มิ้น : ใช่ค่ะ จริงๆ มันก็เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจซะทีเดียว เพราะว่าเรายังไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนยังเป็นเด็กเพิ่งมีความรักครั้งแรก คือเราก็ไม่รู้ว่าหญิงหญิงเขารักกันใครต้องเป็นคนขอเป็นแฟน เราก็ไม่เป็น ปกติเป็นผู้หญิงก็จะมีผู้ชายขอเป็นแฟน แต่พอคุยๆกันไปเราก็ชัดเจนว่าเราตั้งใจคบนะ มันก็มีบทสนมนาขึ้นมาแหละมันมาจากการที่เขาไม่มั่นใจว่าเราชอบเขาจริงมั้ย เราก็รู้สึกว่าเราแสดงออกไปเยอะแล้วนะว่าเราชอบ
ในมุมซิลวี่จะคิดว่าพี่มิ้นเข้ามาเล่นๆ หรือเปล่า ?
มิ้น : เขาคงคิดอย่างนั้นเพราะเราก็ไม่เคยคบผู้หญิงด้วย ก็ต้องยอมรับว่ามันก็ยากในมุมของเขาเหมือนกันว่าเราจะเอาจริงมั้ย แล้วเราอายุเยอะกว่าเขาเยอะด้วย เขาก็คงคิดว่ามาหลอกเด็กหรือเปล่า ในขณะที่เราก็คิดว่ามาหลอกคนแก่หรือเปล่า พอเขารู้สึกไม่มั่นใจ งั้นเราเป็นแฟนกันมั้ยล่ะ เขาก็ช็อคไปแป๊ปนึง เขาก็คงไม่คิดว่าเราจะกล้าขอเป็นแฟน มิ้นก็พูดในเหตุผลของมิ้นว่าการคบกันเป็นแฟนกันไม่ได้การันตีว่าเราจะเลิกกันมั้ย แต่ว่าตรงนี้เรารู้ว่าเราคบกันจริง เป็นแฟนกัน ศึกษากัน รู้จักกัน อยู่ข้างๆกันไม่ต่างอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้ งั้นเป็นแฟนกันเถอะ
มีคนเมาท์มาเหมือนกันว่าที่มาคบกับซิลวี่เพราะอกหักความรักจากผู้ชาย ?
มิ้น : เขาคงไม่เข้าใจสถานการณ์ของเราด้วย ถึงแม้มันจะมีการเปิดกว้างมากขึ้นในสังคมไทยแล้วกับการรับรู้ในเรื่องของ LGBTQ แต่มิ้นคิดว่ามันก็ยังเป็นความเชื่อเดิมอยู่ดีว่าผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายซิ แล้วถ้าผู้หญิงเลือกที่จะไปคู่กับผู้หญิงเองมันก็อาจจะมาจากการที่ที่ไม่มีทางเลือกดั้งเดิมนั้น แต่ว่าจริงๆมันไม่เกี่ยวหรอก สำหรับมิ้นรู้สึกว่า ถ้าจะหาผู้ชายซักคนมันก็คงไม่ยาก ถ้าเอาเรื่องจริงคือมิ้นโสดมาเป็นปีได้มั้ง แล้วในช่วงเวลาเป็นปีมันก็มีคนที่เข้ามา แต่มิ้นว่าสำคัญมากกว่าหยิบใครซักคนนึงมาก็ได้ก็คือคนที่เรารู้สึกว่าเรามีพื้นที่ที่เราเกิดความเชื่อในความรักนี้ ถ้าเกิดคนนี้ทุกคึนบอกว่าใช่แต่เราไม่รู้สึกแล้วเราจะฝืนไปทำไม ชีวิตมันสั้นนะแต่มันยาว ถ้าเลือกคนที่สังคมบอกว่าใช่แต่ใจเราไม่ชอบ แล้วมันได้อะไร ถ้าจะมองในมุมว่าไม่เจอผู้ชายที่ใช่ ก็อาจจะใช่ แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะบอกว่าเพราะว่าไม่มีผู้ชายให้เลือก เลยเลือกผู้หญิง มันไม่เกี่ยว วันนี้มันเปิดกว้างกว่านั้น เราเจออีกจิตวิญญาณนึงที่เรารู้สึกเราไปต่อกันได้
ด้วยความห่างกัน 7 ปี ช่วงแรกๆทะเลาะกันฉ่ำ ?
มิ้น : ถูกต้อง 2 ปีแรกเรียกว่าระเบิดลง ไฟกับน้ำมัน แต่มาช่วงหลังนี้ดีขึ้นแล้ว
ครอบครัวไม่ได้ทราบเพราะว่าเราไม่ได้บอก เราเปิดตัวลงสื่ออย่างเดียว ?
มิ้น : คือ ณ ตอนนั้นที่ลงสื่อไปช่วงแรกๆ เราเองก็ยังอยู่ในช่วงเอ๊ะอยู่ แต่เรารู้สึกว่ามันน่ารักมันมีผลต่อใจ เราก็ลงรูปไป จริงๆในช่วงแรกๆ ก็ยังไม่มีสถานะด้วยซ้ำยังไม่ได้เป็นแฟน ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะตอบใครว่าอะไรยังไง ถ้าถามว่าบอกคุณพ่อคุณแม่มั้ย ก็ไม่ได้บอก เห็นพร้อมๆกัน ลุ้นไปกับเราแล้วกัน
แล้วเรากังวลว่าเขาจะไม่โอเคมั้ยกับความรักเราครั้งนี้ ?
มิ้น : ถ้าตอบตามตรงเลยนะคะ 36 แล้ว ณ วันนั้นก็ 32 แล้ว เราก็ผ่านความรักมาในมุมที่คุณพ่อคุณแม่ก็รุกจักเรามากขึ้นโตขึ้น อาจจะเป็นสไตล์ของครอบครัวมิ้นด้วยที่ไม่ได้อยู่ในจุดที่ มากินข้าวกัน มาทำความรู้จัก คุณพ่อคุณแม่จะเป็นฟีลไปใช้ชีวิต ถ้าเกิดจะมีเพื่อนเป็นใคร คบใคร เขาปล่อยมิ้นมาก ยังเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ยังมองว่ามิ้นเป็นเด็กเหมือนเดิม แต่เขารู้ว่าเราเป็นเด็กที่เอาตัวรอด มิ้นจัดการทุกอย่างในชีวิตมิ้นได้ดี คุณพ่อคุณแม่เลยมีความอีกนิดจะถามแล้วว่าไม่คิดถึง ไม่เป็นห่วงกันบ้างเลยหรอ
ตั้งแต่เปิดตัวเป็นแฟนกับซิลวี่คุณพ่อคุณแม่ได้คุยกับมิ้นมั้ย ?
มิ้น : ถ้าที่บ้านเกิดความกังวลและเป็นห่วงเราจะไปรู้ผ่านตัวกลาง พี่สาวบ้าง พี่เลี้ยงบ้าง ถ้าเขากังวลเขาจะไม่กล้าพูดกับลูก พูดยังไงดีนะ ก็ดีที่เขายังสนใจว่าอะไร ทำอะไรกันนะ
นาทีที่เจอกันครั้งแรกเลยเป็นยังไงบ้าง ?
มิ้น : คือเราก็เนียนๆ เราก็เดินเข้าบ้าน แม่กินข้าว มีอะไรให้กินบ้าง ซิลมาด้วย
เคยมีคิดอยากจะเปิดอกคุยกับเขาตรงๆ มั้ย ?
มิ้น : เราโตมาใสจุดที่เรารู้จักเขามากพอ เขาก็รู้จักเรามากพอ เปิดใจคุยแล้วแล้วบอกแล้วเอาอะไร ต้องบอกว่าคุณแม่ต้องยอมรับมิ้นนะ คุณพ่อต้องยอมรับมิ้นนะ มิ้นคบผู้หญิง มิ้นว่ามันไม่มีความจำเป็นในครอบครัวเราเลย เรารู้ว่าสำหรับเขาเขารักเรา แล้วเขาก็รู้แล้วด้วยว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่เราเลือกสิ่งที่เราทำแล้วเรามีความสุข เขาแฮปปี้แล้ว
กฎหมายสมรสเท่าเทียมก็มาแล้ว มีแพลนจะแต่งงานกันมั้ย ?
มิ้น : ถ้าตอบแบบจริงจังซีเรียส ไม่มีค่ะ พอมันมีการผ่านของกฎหมายเรื่องจริงมันมาแล้ว เราต้องมาคุยกันในรายละเอียดเพราะว่าถ้าถามมิ้นก็จะมีให้คำถามเยอะมาก จะแต่งไม่แต่งกฎหมายมาแล้ว ต้องแต่งซิ เราก้เลยมานั่งถามกันว่าทำไมต้องแต่ง มันต้องมีคำถามนี้ มันมีผลกับเราอย่างไร มันจะตามมาด้วยอะไรบ้าง จากสิ่งที่ไม่เคยคุยกันจริงๆ ต้องมาคุยกัน การที่มีกฎหมายมันคือตัวเลือก คือสิ่งที่ LGBTQ ควรได้รับอยู่แล้ว วันนี้เป็นตัวเลือกของทุกๆคน อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ข้อบังคับ ใครพร้อมลุยโลด ใครยังไม่พร้อมไปตามเวลาของตัวเอง ซึ่งคู่ของมิ้นในมุมที่เราคุยกันยังไม่ใช่เวลานี้
ถ้าเป็นแค่งานเล็กๆ น้อยๆ ล่ะ ?
มิ้น : งานเรารู้สึกว่าถ้าจะจัดมันก็ต้องใหญ่ มันก็ต้องเต็มที่ไปเลย ถ้าถามว่านัดกินข้าวกันเฉพาะครอบครัวมันก็ทำตลอดอยู่แล้ว มันก็เลยไม่ได้อยู่ในจุดที่เราต้องมีการจัดงานกันเกิดขึ้น
คำตอบวันนี้คือไม่ แต่อนาคตไม่แน่ ?
มิ้น : รอรวยแบบ รวย จัดใหญ่แน่นอน
อยากจะบอกอะไรกับซิลวี่ ?
มิ้น : ความสัมพันธ์ของเรามันเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ทุกอย่างเราคุยกันเรื่อยๆอยู่แล้วว่ามันมีความไม่แน่นอนกับความสัมพันธ์เสมอ และเหตุผลที่เรารู้ว่ามีความไม่แน่นอนมันเลยทำให้เราคอยดูแลใจกัน ปรับเปลี่ยนตัวเราดูแลว่า ณ วันนี้เรากำลังทำหน้าที่ของคนที่อยู่ข้างๆกันอย่างดีหรือยัง เราภูมิใจที่เรามาถึงวันนี้ได้แล้วเรารักกัน แล้วเราก็ดูแลกันอย่างดี อนาคตเป็นยังไงไม่รู้แต่ว่าวันนี้เราทำเต็มที่แล้วเราก็ภูมิใจในกันและกันมากค่ะ รักเธอ