วันที่ 31 ก.ค.67 ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงานว่า น.ส.เบญจวรรณ สุพะนาม อายุ 35 ปี อยู่เลขที่ 2 หมู่ 5 บ้านโคกกลาง ต.เมืองฝาง จ.บุรีรัมย์ ร้องผ่านสื่อว่า เงินหายจากบัญชีธนาคารไป 530,000 บาทแต่ธนาคารอ้างว่าเราเป็นคนทำธุรกรรมเอง ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง และอยากให้ผู้รู้มาชี้แนะหาทางออกเพราะเกิดอาการเครียด

น.ส.เบญจวรรณ เล่าว่าสามีไปทำงานอยู่ประเทศเกาหลี เมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา ตอนแรกๆจะส่งมาให้ทางบ้านใช้จ่ายเดือนละประมาณ 40,000 บาท เข้าธนาคารกรุงเทพ ของแม่ ผ่านไปประมาณ 2 ปี สามีบอกว่าเงินจะเอาเข้าบัญชีของตนซึ่งมีบัญชีธนาคารกรุงไทยอยู่แล้วเพื่อเก็บไว้สร้างบ้าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเงินที่สามีส่งมาจะเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย

ซึ่งสามีได้ส่งเงินมาเพิ่มเรื่อยๆจนกระทั่งเป็นเดือนละ 80,000 บาท และทุกครั้งที่เงินเข้าบัญชี หลังหักค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ และค่าส่งงวดรถเดือนละ 22,000 บาท ตนจะโอนผ่านแอป เข้าธนาคารธนชาติของตนอีกบัญชีหนึ่ง เพราะอยากจะเก็บไว้เป็นบัญชีเอกเทศเอาไว้สร้างบ้านตามที่สามีบอกมา ซึ่งล่าสุดมีเงินฝากบัญชีธนาคารธนาชาติ 560,000 บาท

ล่าสุดน้าสาวมาขอยืมเงิน 200,000 สอบถามสามีแล้วบอกว่าให้ได้ วันที่ 21 ก.ค.ตนกับน้าสาวเดินทางไปเบิกเงินที่ธนาคารธนชาติ ถึงธนาคารเอาสมุดบัญชีไปปรับพบว่าเงินในบัญชีเหลือเพียง 30,000 บาทเท่านั้น

จึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ได้รับคำตอบว่าเป็นรายการโอนจากแอปของเราเองไปยังธนาคารเดิมคือธนาคารกรุงไทย ตนได้ยืนยันกับธนาคารว่า”ฉันไม่ได้โอน”ธนาคารตอบกลับมาอีกว่าถ้าตนไม่ได้โอนจะต้องเป็นคนในบ้านเป็นคนโอน ตนก็แจ้งไปอีกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะที่บ้านอยู่กับพ่ออายุ 59 แม่อายุ 53 อาชีพทำนาทุกครั้งหากพ่อหรือแม่ จะโอนตนต้องเป็นคนโอน เพราะพ่อ-แม่ทำไม่เป็น ส่วนลูก 7 ขวบกับ 4 ขวบยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำธุรกรรมได้

เจ้าหน้าที่ธนาคารธนชาติ ยังบอกอีกว่าถ้าคิดจะไปแจ้งความให้ไปปรึกษากันดีๆก่อน เพราะเข้าข่าย แจ้งความเท็จ มีโทษจำคุกตนกับน้าสาวจึงกลับบ้านเพื่อมาปรึกษากับครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ยืนยันเช่นเดียวกันว่า ไม่เคยโอนไม่รู้เรื่องการโอน

วันที่ 22 ก.ค.จึงเดินทางไปขอ Statement กับธนาคารธนาชาติและธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่าเงินที่ตนโอนเข้าธนาคารธนชาติ ถูกโอนกลับมายังธนาคารกรุงไทยจริง แต่ที่ตนงงที่สุดคือ เงินจากธนาคารกรุงไทย ถูกโอนผ่านแอป ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาครั้งละ 10,000-20,000 บาท บางครั้ง 30,000 บาท ไปยังบัญชีประเทศจีนและประเทศเวียดนามเป็นเงินกว่า 530,000 บาท

ด้วยความมั่นใจจึงเดินทางไปแจ้งความกับตำราวจที่ สภ.หนองสองห้อง ตำรวจตรวจสอบโทรศัพท์พบว่าเป็นการโอนจากแอปของเราเอง พูดเหมือนเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าไปปรึกษากันก่อนไหม ยังไม่กล้ารับแจ้งความเพราะหากผิดพลาดมาเรามีคดีแน่

น.ส.เบญจวรรณ เล่าอีกว่า ตอนนี้งงไปหมดตนจะรู้จักบัญชีต่างประเทศได้อย่างไร เพราะไม่เคยรู้จักหรือสั่งสินค้ากับคนต่างประเทศ กลับมาถึงบ้านนั่งคิดนอนคิดก็ไม่ออกว่าตนไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร เพราะสติตนเป็นปกติไม่เคยเล่นการพนัน

วันนั้นพอกลับบ้านนอนไม่หลับ เวลาประมาณ 22.45 น.ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรเข้ามา บอกว่าเงินที่หายไปจากธนาคารธนชาติไปนั้น อย่าพึ่งตกใจนะมันเป็นความผิดของทางธนาคาร เดี๋ยวทางธนาคารจะตรวจเส้นทางการเงินของน้อง วันพรุ่งนี้เวลาประมาณ 10.00-11.00 น.วันถัดไปธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีคืน ตอนนั้นรู้สึกโล่งอก ตอนหลับสนิท

พอวันถัดมา(23 ก.ค.)นั่งรอนอนรอข้อความเงินเข้าแต่ไม่มีจนถึงบ่าย จึงเดินทางไปหาธนาคารอีก ธนาคารบอกว่าเหมือนเดิมคือไม่มีเงินเข้าออกแต่อย่างใด ทำให้ต้องคอตกกลับบ้านอีก

ตอนนี้ตนเครียดมากอยากจะให้ธนาคารตรวจเช็คให้ละเอียดอีกครั้ง หรือหน่วยงานใดมาให้ความรู้หาแนวทางช่วยเหลือตนเองด้วย ปกติเงินที่โอนออกโอนเข้าผ่านทางแอปของตน จะมีข้อความเข้ามา แต่ทำไมเวลาโอนไปต่างประเทศเราไม่รู้

น.ส.เบญจวรรณ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเครียดถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย กินน้ำยาล้างจานเข้าไป นอนอยู่ที่โรงพยาบาล 1 คืน เพราะเครียดไม่รู้จะไปพึ่งใครได้ ทุกหน่วยงานดูหลักฐานแล้วบอกว่าเป็นเพราะเราเองซึ่ง มันเป็นไปไม่ได้