Home Blog Page 81

เปิดหลักฐาน ผอ.เหมียว ถูก อดีต ผอ.สามีเก่า คุกคามมาแรมปี

จากกรณี นายปฐพี อายุ 52 ปี อดีต ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.บุรีรัมย์ ลาออกจากราชการ ใช้อาวุธปืนบุกยิง น.ส.ดวงเดือน หรือ ผอ.เหมียว อายุ 41 ปี ผอ.โรงเรียน อ.เมืองศรีสะเกษ อดีตภรรยา พร้อมด้วย นายปรมัตถ์ หรือทนายป้อม อายุ 39 ปี ทนายความ สามีของ ผอ.เหมียว นางหยกมณี อายุ 66 ปี แม่ของ ผอ.เหมียว และนายบุญเลื่อน อายุ 61 ปี น้องเขยของ นางหยกมณี เสียชีวิตอยู่ในบ้านหอยพัฒนา หมู่ 8 ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ส่วน นายปฐพี หลังก่อเหตุได้ขับรถหลบหนีไปยิงตัวเสียชีวิต ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

(25 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบเอกสารหลักฐาน จากสำนักงานทนายความนิตินัย ปรมัตถ์ ซึ่งเป็นสำนักงานทนายป้อม ผู้เสียชีวิต ได้ส่งหนังสือบอกกล่าว ถึง นายปฐพี ผู้ก่อเหตุ สามีเก่า ของ ผอ.เหมียว ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรส ในเรื่องขอให้หยุดพฤติกรรมคุกคามและห้ามเข้ามายังบริเวณบ้าน หมู่ 8 ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา

โดยข้อความในหนังสือฉบับดังกล่าว ระบุว่า ตามที่ท่านได้โทรศัพท์ และ/หรือส่งข้อความไปคุกคาม น.ส.ดวงเดือน ความละเอียดตามที่ท่านทราบดีอยู่แล้วนั้น โดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้า นายปรมัตถ์ ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ดวงเดือน มีความประสงค์ขอแจ้งให้ท่านทราบและปฏิบัติตามดังนี้

1.ขอให้ท่านเลิกคุกคามทางโทรศัพท์ และ/หรือส่งข้อความ ไปคุกคาม น.ส.ดวงเดือน อีกอย่างเด็ดขาด และ

2.ห้ามท่านเข้ามายังบริเวณบ้าน หมู่ 8 ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ อย่างเด็ดขาด

หากท่านยังคงฝ่าฝืนข้าพเจ้ามีความจำเป็นต้องดำเนินคดีกับท่านตามกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป ทั้งทางแพ่งและทางอาญา รวมทั้งอาจจะมีการพิจจารณาในเรื่องการดำเนินการทางวินัยกับท่านด้วย พร้อมกับได้ลงนามในหนังสือดังกล่าวด้วย.

โทรหมื่นสาย/วัน เบื้องหลังโฉ่ พ.ต.ท. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สะเทือนถึงรัฐบาล

เจาะเบื้องหลัง รวบ พ.ต.ท. เชียงใหม่ โยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จ่อให้ออกจากราชการไว้ก่อน ชี้ หลักฐาน SIM BOX 12 เครื่อง ใช้โทรวันละเป็นหมื่นสาย เร่งตรวจสอบชายแดน…  

มุกประจำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในการข่มขู่ และหลอกลวงประชาชน คือการอ้างตัว เป็น “ตำรวจ” หรือ หน่วยงานด้านการสืบสวน จับกุมในการทำผิดกฎหมายทางใดก็ทางหนึ่ง

แต่กับข่าวล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ กลายเป็นว่า “ตำรวจ” ซึ่งมียศถึง พ.ต.ท. หรือ สารวัตร ที่ จ.เชียงใหม่ กลายเป็นผู้ต้องหานำเครื่อง SIM BOX ที่ทำหน้าที่ ขยายสัญญาณ รันหมายเลข เป็นเบอร์ในประเทศไทย คล้ายเป็นการ “อำนวยความสะดวก” ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาหลอกลวงคนไทย ซึ่ง 1 วัน สามารถโทรหาคนอื่นได้ถึงหมื่นสาย มาตั้งในสถานที่ของตนเอง และอ้างว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร” เป็นคุณ คุณจะเชื่อไหม…?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “เรา” ได้พูดคุยกับ พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ที่ร่วมจับกุมและสอบสวนในวันนั้น มาเล่าเบื้องหลังและความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีนี้…

พล.ต.ต.วีรชน เผยว่า สิ่งที่เขาอ้าง อ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร ซึ่งการที่เป็นตำรวจ ไม่อ้างอะไรแบบนี้ไม่ได้ ขนาดประชาชนยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราทำในเวลานี้ คือ การหาหลักฐานต่างๆ ทั้งเส้นทางการเงิน โทรศัพท์ การติดต่อสื่อสารต่างๆ รวมถึงภาพกล้องวงจรปิด

“ตอนนี้มีการขยายผล และเตรียมออกหมายเรียก หรือหมายจับ เพิ่มเติม โดยเฉพาะผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม ทั้งคนไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำเครื่อง SIM BOX เข้ามา โดยเส้นทางที่เข้ามานั้น น่าจะมาจากจีน และเข้าไทยในทางแม่สาย ด้วยช่องทางที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะลูกสาวที่ให้การว่า ตอนแรกไม่รู้จะนำเครื่องนี้ไปวางไว้ไหน เลยให้พ่อจัดการหาที่วางให้ ซึ่งเครื่องชุดแรก จึงนำมาวางในห้องลูกสาว จำนวน 4 เครื่อง”

จากนั้นก็มีการขนเครื่อง SIM BOX ชุดอื่นๆ มาอีก 8 เครื่อง รวมเป็น 12 เครื่อง โดยกระจายไปวางในจุดอื่น เนื่องจากไม่ให้ความถี่มันเต็ม เพราะ 1 เครื่อง สามารถโทรพร้อมกันได้ 32 เบอร์ ดังนั้น หากรวมกัน 12 เครื่อง จะโทรพร้อมกันได้ 384 เบอร์ โดยเบอร์จะรันไปเรื่อยๆ

“การทำงานของเครื่องนี้มันใช้ระบบออโต้ คอยรับส่งสัญญาณจาก “เครื่องแม่” อยู่ต่างประเทศ ที่คอยรับสัญญาณและแปลงเป็นเบอร์โทรศัพท์ไทย ฉะนั้น ตอนที่จับ เราเจอแค่คนเฝ้าไม่กี่คน คอยดูแลเรื่องระบบไฟฟ้า เปิดพัดลม ดูแลอินเทอร์เน็ต”

ข้อหาหลักในการดำเนินคดี 

1. ร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต

2. ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต

3. ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาต

ฟังแล้ว ข้อหาไม่หนักเท่าไร พล.ต.ต.วีรชน ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น โดย 2 ข้อหา จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำและปรับ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะรอลงอาญา

ตอนนี้เรากำลังดำเนินการในข้อหาอื่นๆ โดยเฉพาะการพิสูจน์ในเรื่องข้อหาเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากเข้าข่าย ก็จะเป็นเรื่อง “ฉ้อโกงประชาชน” โดยเวลานี้จะต้องส่งเครื่องไปตรวจสอบ เพื่อหาหมายเลขที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงประชาชน หากพบว่ามีผู้เสียหาย หรือเกี่ยวข้องกับการหลอกให้โอนเงิน เราก็จะดำเนินการเพิ่ม

“หากพิสูจน์แล้วว่ามีคนเคยมาแจ้งความ ว่าถูกเบอร์โทร ที่ผ่านเครื่องนี้ เราก็จะจัดการแจ้งข้อหาเพิ่มทันที! โดยเฉพาะการสนับสนุน หรือเป็นตัวการร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

กรณี ภาค 5 มีการกวดขันอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ รอง ผบช.ภ.5 บอกว่า เมื่อวานได้ไปตรวจสอบที่บริเวณชายแดนไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่บริเวณเชียงแสน โดยเฉพาะ “เสาสัญญาณ” ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดน เรื่องนี้เราต้องประสานหน่วยงานอื่น เช่น กสทช. และหน่วยงานเอกชนที่ให้บริการ ต้องร่วมตรวจสอบด้าน “เทคนิค” การส่งสัญญาณข้ามประเทศ เราต้องป้องกันไม่ให้คนต่างประเทศ เข้ามาใช้ “เสาสัญญาณ” ของเรา โทรเข้ามาหลอกลวงคนไทย เพื่อให้ขึ้นเบอร์ไทย

“เขาไม่จำเป็นต้องวาง  SIM BOX ในไทยก็ได้ หากเขาเกี่ยวสัญญาณในประเทศไทยได้ เขาอาจจะเลือกวางไว้ที่ชายแดนก็ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือ เราต้องไม่ให้สัญญาณของเรา ไปถึงต่างประเทศ เพราะหากมันเกี่ยวได้ มันก็จะขึ้นเบอร์ไทย…”

พล.ต.ต.วีรชน กล่าวว่า ตอนนี้เรายังไม่ทราบมูลค่าความเสียหาย เนื่องจากเรายังไม่รู้ว่า ใครโดนเคสนี้หลอกบ้าง ซึ่งเราทราบว่า แต่ละวันมีการโทรหาคนอื่นนับหมื่นสาย และทำมาแล้ว เดือนกว่าๆ และเชื่อว่าเป้าหมายหลักก็คือการหลอกลวงคนไทย

“ส่วนคนที่เป็นตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น เรื่องนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการกำชับหนักแน่นอยู่แล้ว และเท่าที่ทราบ เคสนี้กำลังดำเนินการเรื่องการ “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” ซึ่งเรื่องนี้ คงต้องรอหนังสืออย่างเป็นทางการต่อไป”

“ตำรวจ” เป็นเสียเอง เสียหายถึง นายกฯ

ด้าน ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตรองผู้บัญชาการ สำนักงานกฎหมายและคดี และอดีต รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 มองว่า เรื่องนี้ภาพลักษณ์ตำรวจเสียหายหนักมาก และส่งผลเสียไปถึงรัฐบาลด้วย เนื่องจากเป็น นโยบายรัฐบาลในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน แต่ปรากฏว่า ปราบปรามไม่ได้ผล รวมๆ ได้ผลไม่ถึง 20%

“ปราบไม่ได้ไม่พอ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรจะเป็นคนปราบแต่ทำเสียเอง แบบนี้เสียหายขนาดไหน เหมือนเป็นการตบหน้าผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนในรัฐบาล รวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่สนองนโยบาย แถม พ.ต.ท. คนนี้ทำเสียเอง เรียกว่า ไม่ไว้หน้า ผบ.ตร. หรือ นายกฯ เลย ถ้าเขาไว้หน้า เขาจะไม่ทำ การอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร เป็นตำรวจ ยศถึง พันตำรวจโท…นี่จับสลาก ได้มาหรือ”

รัฐบาลเพิ่งจะแถลงนโยบายไป 3 เรื่อง คือ

1. ยาเสพติด 

2. เว็บพนัน 

3. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ยาเสพติด ยาบ้าตอนนี้ ซื้อ 1,000 เม็ดขึ้นไป ขายเม็ดละ 5 บาท ซื้อ 500 เม็ด ขายเม็ดละ 7 บาท ตอนผมเป็นผู้การอ่างทองยาบ้า เม็ดละ 350 บาท นะ แปลว่ามันซื้อยากแค่ไหน” 

ผู้การวิสุทธ์ อธิบายว่า หากพื้นที่ไหน ติดชายแดน มักจะเป็นที่ทำการของสิ่งผิดกฎหมาย สำหรับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีมากที่สุด ในประเทศเพื่อนบ้านคือ พม่า รองลงมา กัมพูชา และลาว สาเหตุที่พม่า มีพื้นที่ติดชายแดนกับไทยมากที่สุด ยาวที่สุด ฉะนั้น เซิร์ฟเวอร์หลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนมากจะอยู่ฝั่งนู้น และที่สำคัญ คือ สามารถใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่บางคนฝั่งนู้นได้ โดยเฉพาะเวลานี้ มีการแบ่งฝักฝ่ายออกเป็นหลายก๊ก ตอนนี้กำลังรบกันอยู่ หากมีการจ่ายเงินให้ เขาก็อาจจะดูแลความปลอดภัยให้..”

ผู้การวิสุทธิ์ ย้ำว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเวลานี้ กว่า 90% เป็นกลุ่ม จีนเทา ทั้งนั้น ที่สำคัญ คือ หากในภูมิภาคนี้ เป้าหมายหลักก็คือ ประเทศไทย สาเหตุเพราะเรามีความพร้อมทุกๆ อย่าง ทั้งระบบธนาคาร การโอนเงิน และเงินทอง

จะมาหลอกพวกพม่า ก็ไม่รู้จะหลอกยังไง เพราะระบบมันก็ยังไม่พร้อม เงินมันก็ไม่ค่อยจะมีให้หลอก…

อีกปัจจัยที่ทำให้คนไทย โดนหลอกง่าย คือ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน, ความอีรุงตุงนังในระบบราชการไทย มันซับซ้อน ตำรวจ ดีเอสไอ สรรพากร ป.ป.ช. ปปง. เรียกว่ามีหน่วยงานเยอะแยะ ทำให้มีเงื่อนไขในการหลอกเยอะ

นอกจากนี้ คนไทยที่รวยๆ บางคนก็มีแผลทั้งนั้น ทำธุรกิจสีเทา สีดำ ทำให้มีโอกาสถูกข่มขู่ หรือหลอกก็มากขึ้น แม้ว่าคนที่ทำจะไม่โดนหลอก แต่ญาติพี่น้อง คนที่ได้เงินมา โดยไม่รู้ที่มาที่ไปของเงิน หรือพอรู้ว่าลูกหลานทำอะไรไม่ดี แก๊งพวกนี้ มันก็โทรหา คนแก่ อ้างว่าลูกทำผิดกฎหมาย ก็หลงเชื่อมีโอกาสโดนหลอก

ที่สำคัญ คือ เรื่องบัญชีม้า ประเทศเราเปิดบัญชีกันง่าย เท่าที่รู้มา คือ ตอนนี้เรามีบัญชีม้ากว่า 5 แสนบัญชี ซึ่งตอนนี้ก็ยกระดับ การเป็นบัญชีนิติบุคคล เป็นม้าอีก เรื่องนี้ระบบธนาคาร ต้องไปช่วยกันแก้ปัญหา

“นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารบ้านเมือง ประเทศชาติ ขอให้บริหารด้วยความกล้า และการกระทำ ไม่ใช่การบริหารด้วยลมปาก และวาจา เมื่อสั่งการนโยบายไปแล้ว ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างต่อเนื่อง ลงโทษ ขรก.ไม่สนองนโยบาย ใครทำดี ให้รางวัล ใครไม่ดี ต้องลงโทษ”

น้ำตาท่วมวัด เศร้าเผา ผอ.มือยิง4ศพ แห่อาลัย อโหสิให้กับทุกฝ่าย ชาวบ้านเผย เป็นคนอารมณ์ดี

วันที่ 25 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดบ้านโนนเสน่ห์ ต.หนองบอน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ร่างของนายปฐพี อายุ 52 ปี อ.โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ก่อเหตุยิงอดีตภรรยาเป็น ผอ.โรงเรียนอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ

พร้อมสามีใหม่ เป็นทนายอายุ 39 ปี รวมถึงแม่ ผอ.สาวและญาติรวมเสียชีวิตในคราวเดียวกัน 4 ศพ ก่อนจบชีวิตตัวเอง เป็นศพที่ 5 โดยวันนี้ได้มีพิธีฌาปนกิจ ท่ามกลางความโศกเศร้าของพ่อแม่ ญาติ และครอบครัวเป็นอย่างมาก

นางอรวี อายุ 56 พี่สาวคนโต เล่าทั้งน้ำตาว่า เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ขออโหสิกรรมให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หลังจากนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่กันไป ขณะที่ควันหลงของชาวบ้านที่คิดไม่ถึงว่า ผอ.จะก่อเหตุแบบนี้ได้ต่างออกมาจับกลุ่มนั่งพูดคุยกันเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่คิดถึงเพราะ ผอ.เป็นคนอารมณ์ดี จิตใจดี ไม่เอาเปรียบใคร

น้ำตาท่วมวัด เศร้าเผา ผอ.มือยิง4ศพ แห่อาลัย อโหสิให้กับทุกฝ่าย ชาวบ้านเผย เป็นคนอามณ์ดี

นางพรทิชา ดีกลาง อายุ 46 ปี เจ้าของร้านน้องพรต้นมะขามโคกโพธิ์ ซึ่งเป็นร้านอาหารทั่วไป ได้ออกมาระบุว่า ผอ.จะกินข้าว และนั่งสังสรรค์กับเพื่อนหรือชาวบ้านเป็นประจำเฉลี่ยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ทุกครั้งที่มานั่งสังสรรค์กัน ผอ.จะไม่ถือตัวบอกว่าตำแหน่ง ผอ.ผมเอาไว้ที่บ้าน ตอนนี้ผมมาแบบคนธรรมดาทั่วไป แล้วนั่งคุยกับเพื่อนร่วมวงอย่างสนุกสนาน มีการร้องเพลง และฟ้อนรำตามจังหวะเพลงเป็นประจำ

โดยเฉพาะตอนจ่ายบิลอาหาร ผอ.จะไม่เอาเปรียบ ช่วยจ่ายตามจริงทุกครั้ง หรือบางครั้งจะขอเลี้ยง พอทราบข่าวแล้วใจหายไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ เพราะครั้งล่าสุดที่ ผอ.มานั่งกินที่ร้านเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน

เผาแล้ว! อดีต ผอ. มือยิง 4 ศพ ญาติขออโหสิกรรมทุกฝ่าย

(25 ก.ค.67) ร่างของนายปฐพี หรือ ผอ.เขี้ยว อายุ 52 ปี อดีต ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ที่ก่อเหตุยิงอดีตภรรยาเป็น ผอ.โรงเรียนอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ ไปพร้อมกับสามีใหม่ เป็นทนายอายุ 39 ปี รวมถึงแม่ ผอ.สาวและญาติรวมเสียชีวิตในคราวเดียวกัน 4 ศพ ก่อนยิงตัวเองในรถเสียชีวิตที อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา

ได้เคลื่อนร่างมาที่วัดบ้านโนนเสน่ห์ ต.หนองบอน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ แล้วทำการฌาปนกิจเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางความโศกเศร้าของพ่อ-แม่ ผอ.ปฐพี และครอบครัวเป็นอย่างมาก รวมถึงเพื่อน ผอ.ปฐพี และลูกศิษย์ที่เดินทางมาร่วมส่ง ผอ. เป็นจำนวนมาก

โดยนางอรวี อายุ 56 พี่สาวคนโตของครอบครัว ได้ออกมาเล่าทั้งน้ำตาว่า เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ขออโหสิกรรมให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หลังจากนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่กันไป

ขณะที่ควันหลงของชาวบ้านที่คิดไม่ถึงว่า ผอ.เขี้ยว จะก่อเหตุแบบนี้ได้ต่างออกมาจับกลุ่มนั่งพูดคุยกันเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่คิดถึงเพราะ ผอ.เขี้ยวเป็นคนอารมณ์ดี จิตใจดี ไม่เอาเปรียบใคร

เจ้าของร้านอาหารทั่วไป ได้ออกมาระบุว่า ผอ.เขี้ยว จะกินข้าว และนั่งสังสรรค์กับเพื่อนหรือชาวบ้านเป็นประจำเฉลี่ยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

ทุกครั้งที่มานั่งสังสรรค์กัน ผอ.ปฐพี จะไม่ถือตัวบอกว่าตำแหน่ง ผอ.ผมเอาไว้ที่บ้าน ตอนนี้ผมมาแบบคนธรรมดาทั่วไป แล้วนั่งคุยกับเพื่อนร่วมวงอย่างสนุกสนาน มีการร้องเพลง และฟ้อนรำตามจังหวะเพลงเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนจ่ายบิลอาหาร ผอ.จะไม่เอาเปรียบ ช่วยจ่ายตามจริงทุกครั้ง หรือบางครั้งจะขอเลี้ยง พอทราบข่าวแล้วใจหายไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ เพราะครั้งล่าสุดที่ ผอ.มานั่งกินที่ร้านเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน

‘รุ้ง ราวรรณ’ เปิดใจความสัมพันธ์ ‘อิสร์ อิสรพงศ์’ หลังมีภาพหวานๆหวานช่วงต้นปี

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาเมื่อสาว รุ้ง ราวรรณ ได้โพสต์ภาพคู่กับหนุ่ม อิสร์ อิสรพงศ์ ทำให้แฟนๆ ต่างจับตามองและตั้งคำถามว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า!

ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า

เป็นข่าวน่ารักๆ ฟีลร่วมงานกันประมาณนี้ อย่าไปคิดอะไรมาก ถามว่าผีผลักมั้ยคือผีไม่น่าจะผลัก เขาเป็นคนน่ารักอยู่ด้วยเเล้วรู้สึกเย็น เรียบร้อยยิ้มหวาน เราอยู่กันเเบบฟีลพี่น้องเพื่อนร่วมงาน เป็นพี่เป็นน้องกันประมาณนี้มากกว่า ยังเล่นละครด้วยกันอยู่เขาก็มาเป็นเเขกรับเชิญเป็นพักๆ

w644-1-4-jpg

w644-2-5-jpg

w644-3-5

ขอแสดงความเสียใจ 2 นศ.ซิ่งจยย.ชนท้ายรถทางหลวงซ้อมทางดับ 2 เจ็บ1

วันที่ 25 ก.ค.67 พ.ต.ต.นพเดล เอกจิตร สว.(สอบสวน) สภ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต บนถนนพหลโยธินฝั่งพื้นที่หมู่บ้านนาปง หมู่ 8 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จึงพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า สีแดง ขกง 1899 เชียงราย ล้มอยู่ด้านหลังรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ของกรมทางหลวงซึ่งจอดอยู่ข้างทางจนรถพังยับเยิน ใกล้กันพบศพผู้เสียชีวิตที่ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยทราบชื่อคือ น.ส.ฟ้า อายุ 17 ปี แล น.ส.กานต์ อายุ 17 ปี ทั้งคู่เป็นนักศึกษาเรียนอยูชั้น ปวช.ปีที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย สภาพเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเลือดนองพื้น นอกจากนี้มีรถจักรยานยนต์ที่มีวัยรุ่นหญิงอีก 1 คันขับตามท้ายมาและได้ถูกรถจักรยานยนต์คันแรกเฉี่ยวด้านข้างทำให้คนขับได้รับบาดเจ็บ 1 คน

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าก่อนเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกของกรมทางหลวงได้จอดอยู่ข้างถนนพหลโยธินเพื่อทำการซ่อมทางตามปกติ ต่อมาได้มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องและได้มีรถจักรยานยนต์ซึ่งนักศึกษาทั้ง 2 คนได้ขับขี่และซ้อนท้ายมาด้วยความเร็ว และพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์บรรทุกอย่างแรงเป็นเหตุให้รถพังเสียหายและนักศึกษาทั้ง 2 คนเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่าเพราะฝนตกลงมาทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดี อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบหลักฐานเพื่อหาข้อเท็จจริงอีกครั้ง และได้นำทังหมดส่งโรงพยาบาลแม่สายพร้อมแจ้งญาติให้รับทราบ

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.เชียงราย รายงาน

ด่วน! ชายตกร่วงโทลล์เวย์โคม่า เจ้าหน้าที่ช่วยไม่ทันเจอเดินเครียดกล่อมวุ่น

ระทึกชายเครียดบนโทลล์เวย์ ใกล้เคียงหน้าโรงพยาบาลราชวิถี 2 เจ้าหน้าที่รีบกล่อม สุดท้ายพลัดตกลงมาบนถนนพหลโยธินอาการสาหัส เจ้าหน้าที่เร่งสอบ

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งเหตุพบเห็นชายยืนอยู่บนโทลล์เวย์ ใกล้เคียงหน้าโรงพยาบาลราชวิถี 2 ถนนพหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุพบชายสวมเสื้อคลุมแขนยาวสีขาว สวมกางเกงขาสั้นสีดำ เดินอยู่บริเวณช่วงรอยต่อของโทลเวย์ ก่อนเดินออกมานั่งบริเวณคานตอม่อ เจ้าหน้าที่รีบเข้าไปพูดคุยเกลี้ยกล่อมให้กลับเข้ามา แต่ชายคนดังกล่าวมีท่าทีนิ่งเงียบ ก่อนพลัดตกลงมาบนถนนด้านล่าง อาการสาหัวหมดสติ เจ้าหน้าที่รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล พร้อมเร่งสอบสวนว่าเป็นใครมาจากไหนเพื่อติดต่อญาติมาสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ขอบคุณภาพจาก เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู

ชีวิตล่าสุด 2 แม่ลูก ‘แวร์ โซว-น้องคนดี’ ขาย หมึกปิ้งหน้าหอพัก

“แวร์ โซว” เปิดใจพร้อม “น้องคนดี” บอกเป็นคนคิดอยากขายปลาหมึกปิ้ง จะได้เป็นช่องทางหารายได้เสริม บอกตอนนี้ขายได้ 1 เดือนถือว่าโอเค

ขอลองทำดู 3-6 เดือน ถ้ารายได้ดีอาจจะมีขยายสาขา บอกวิกฤตโควิดทำต้องควักเงินเก็บมาใช้ เลยต้องมองหารายได้อื่นรองรับนอกจากงานละคร เรียกว่าเป็นคู่แม่ลูกที่สู้ชีวิตด้วยกันมาตลอด สำหรับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวสุดสตรอง “แวร์ โซว” ที่เวลาไปไหนมาไหนมักจะตัวติดกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน

“น้องคนดี” อยู่ตลอด ล่าสุดทั้งคู่หันมาทำธุรกิจขายปลาหมึกปิ้งอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่เจ้าตัวอาศัยอยู่นั่นเอง น้องคนดี : “เรื่องขายปลาหมึกปิ้ง นี่คือด้วยความที่หนูกับคุณแม่เป็นคนที่ชอบทานปลาหมึกกันทั้งคู่ค่ะ แล้วก็อยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร และไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ตอนแรกก็คิดว่าจะสั่ง

ปลาหมึกมาปิ้งกินเล่นๆ กัน แต่พอเห็นพื้นที่ข้างล่างอพาร์ทเมนต์ที่เราอยู่มันว่างพอดี ก็เลยไปคิดว่าเรามาลองทำอะไรสักอย่างดีไหม” แวร์โซว : “ก็มีไปปรึกษาเพื่อนบ้าน เจ้าของพื้นที่ พอคุยเสร็จวันนี้ อีกวันนึงขายเลย แล้วก็มือใหม่มาก แม่ก็ปิ้งปลาหมึกไปก็หันไปถามลูกไปว่าสุกหรือยังๆ (หัวเราะ)”

น้องคนดี : “หนูมีหน้าที่คอยหั่นค่ะ ก็ถือว่าได้มีอะไรที่ทำขึ้นมาบ้าง ก็เป็นธุรกิจเล็กๆ ของแม่ลูกที่ตอนนี้เพิ่งเริ่มค่ะ” แวร์โซว : “เพิ่งเริ่มทำกันเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ตอนนี้ก็ทำมาได้ประมาณเดือนนึง ซึ่งถามว่ากำไรไหม รวยไหม คงยังตอบไม่ได้ (หัวเราะ) เพราะเพิ่งเริ่มค่ะ แต่ถามว่าอร่อยไหม อร่อยค่ะ ขายดีพอประมาณ

แล้วก็จะมีเพื่อนบ้านที่สนิทกันเขาก็มาช่วยดู มาสอนทำนำ้จิ้ม เพราะเขาเคยเป็นแม่ครัวมาก่อน และเขาก็มีรสมือที่ดี เขาก็จะมาช่วยดูแลเวลาเราไปถ่ายละคร เราไม่ว่าง เขาก็มาช่วยเปิดร้าน ดูแลร้านให้ค่ะ ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

จูน เพ็ญชุลี โชว์ลอตเตอรี่ หลังเซ็นใบหย่า หนุ่ม กะลา เลขสวยมาก

วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 หนุ่ม กะลา นักร้องชื่อดัง พร้อม จูน เพ็ญชุลี อดีตภรรยา ได้เดินทางมาเพื่อจดทะเบียนหย่าอย่างเป็นทางการ ณ ที่อำเภอว่าการสมุทรปราการ โดยมีสื่อมวลชนมารอทำข่าวจำนวนมาก

บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยจูนเดินทางมาถึงก่อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกในวันนี้ เธอตอบสั้นๆ ว่า โอเคค่ะ ไม่ได้เตรียมอะไรมาเป็นพิเศษ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้น 2 ของที่ว่าการอำเภอ

ขณะที่หนุ่ม กะลา เดินทางมาถึงในเวลาต่อมา แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ท่ามกลางคำถามที่ถูกยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งคู่ได้เข้าไปดำเนินการจดทะเบียนหย่าภายในที่ว่าการอำเภอ โดยใช้เวลาไม่นานนัก และหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ ทั้งคู่ก็ได้แยกย้ายกันกลับทันที โดยไม่มีการให้สัมภาษณ์ใดๆ เพิ่มเติม

ก่อนกลับแม่จูน ยังได้โชว์ลอตเตอรี่เสี่ยงดวงหลังหย่าหนุ่ม กะลา อีกด้วย โดยเลขดังกล่าวคือ 550452

ชัดเจน! หนิง ปณิตา พูดบ้าง หลัง เป้ย ปานวาด บอก ยังรักและหวังดีเสมอ ทำแฟนๆลุ้นคืนดี

จากประเด็นที่ก่อนหน้านี้ได้มีชาวเน็ตจับตามองความสัมพันธ์ของ เป้ย ปานวาด และ หนิง ปณิตา หลังมีเรื่องราวแคลงใจกันเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่ง เป้ย เคยตอบว่า ยังรักและหวังดีกับหนิงเสมอ ขออยู่ห่างๆอย่างห่วงๆแบบนี้ดีที่สุดแล้ว

ล่าสุด หนิงได้เปิดใจผ่านสื่อ หลังเมย์ พิชญ์นาฏ กำลังทำหน้าที่กาวใจเพื่อนทั้ง 2 คน เผย ทุกอย่างแบบที่เป้ยตอบ เพื่อนยังไงก็เพื่อน ได้เจอหรือไม่เจอก็มีความห่วงใยกันตลอด ตอนเป้ยมีเรื่องตนก็ส่งความห่วงใยผ่านเมย์ไปให้ตลอด ส่วนตัวตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ยังไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา จะมีโมเมนต์ร่วมกันไหม ให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ตนเป็นห่วงเขา เมื่อก่อนยังไงวันนี้ตนก็ยังคงเป็นแบบนั้นเสมอ ตนอยู่เดิมตลอด

Popular Posts

My Favorites

มาแล้ว หนิง ปณิตา เปิดใจถึง เป้ย ปานวาด กดกริ่ง-เดินเข้ามาในบ้านได้เลย

0
ก่อนหน้านี้  เมย์ พิชญ์นาฏ พยามยามเป็นกาวใจให้  หนิง ปณิตา และ เป้ย ปานวาด กลับมานั่งคุยกันอีกครั้ง เพราะต่างอยากเห็นโมเมนต์ที่ทั้ง 4 นางร้ายตัวแม่กลับมารวมตัวกันอย่างครบทีมเหมือนเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้ เป้ย ได้เคยตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เธอรักและเป็นห่วงหนิงอยู่เสมอ แต่ขอเลือกที่จะอยู่ห่างๆ เป็นห่วงๆ และล่าสุดเมื่อได้เจอ หนิง ก็ต้องถามถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเผยว่า เป็นอย่างที่เป้ยตอบไป เชื่อว่าเพื่อนกันคงคิดอะไรคล้ายๆ กัน ตอนที่เป้ยมีเรื่อง...