Home Blog Page 110

‘นุ่น รมิดา’ เคลียร์แล้วภาพสามี ‘หลุยส์ สก๊อต’ อุ้มเด็กน้อยที่แท้ลูกใคร

ก่อนที่จะมีคนเข้าใจผิดงานนี้ทำเอาสาว นุ่น รมิดา ถึงกับต้องออกมาโพสต์ชี้แจงทันที กับภาพข่าวที่สามีอย่างหลุยส์ สก๊อต กำลังอุ้มเด็กน้อย ซึ่งในภาพก็มีข้อความให้คิดว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของทั้งคู่ โดยทางด้านนุ่น รมิดา ได้โพสต์ข้อความชี้แจงไว้ว่าเป็นลูกใคร

“เดี๋ยวอันนี้อะไร นั่นเฟญาลูกพี่บอยมั้ย #แต่เราดูเหมือนแม่ลูกอ่อนเหมือนกันนะ ถึงว่ากลับชัยภูมิมีแต่คนถามมีน้องแล้วเหรอค่ะ #พอก่อนเบาได้เบา”

ซึ่งงานนี้คุณพ่อตัวจริงอย่างบอย พิษณุ ก็เข้ามาคอมเมนต์ว่า “โอยยยย ข่าวหนอ ” ส่วน หลุยส์ ก็ได้เข้ามาคอมเมนต์ติดตลกต่ออีกว่าว่า “ก็แสดงว่าพี่ @boy_pisanu ขโมยลูกผม”

รวมถึงหลายคนที่อวยพรให้ นุ่น รมิดา มีลูกเร็วๆ และเมื่อมีคอมเมนต์บอกว่า “นึกแต่ว่าเรื่องจริง อุตส่าห์ดีใจอย่างแรง” ทางด้าน นุ่น รมิดา ก็ตอบชัดด้วยว่า ” งื้อ นิก็อยากได้ค่ะ”

น้ำ รพีภัทร พูดถึงใคร ชาวเน็ตฟังแล้ว ลั่น เป็นห่วง

หลายคนต่างตกใจเมื่อ น้ำ รพีภัทร โพสต์คลิประบายลงโซเชียล ที่มีการพูดถึงเพื่อนคนหนึ่ง โดยบอกว่า “เพื่อนกัน ไม่ใช่เป็นเฉพาะมีความสุข คุณอายุเท่าไหร่แล้ว 40 ผมก็ 40 เรื่องเล็กว่ะ คุณแย่ อีโก้ ลดอีโก้ลงบ้าง

เชื่อผมปะว่าความทุกข์คุณเหมือนกับความทุกข์ผม ผมก็ทุกข์ อย่าทุกข์เยอะ ทุกข์เยอะ มันก็เข้าที่ช่างมันก็เกิน อย่าทุกข์ขนาดนั้น เพราะทุกข์เยอะ เข้าด่านตรวจมันก็เกิน เพื่อนเอ้ย ขอบคุณครับ จุ๊ฟ”

ทำเอาแฟนคลับคอมเมนต์สนั่น อาทิ พ่อไม่ว่าไหร่ๆ, อันนี้ยังไม่เป็นซุปเปอร์ไซย่านะ, เข้าใจครับลูกพี่, FC น้ำ เสมอเป็นคนเป็นกันเองมาก ไม่มีถือตัว, ดูแลตัวเองครับหัวหน้า, เป็นห่วงค่ะ เป็นต้น

ฮือฮา แฟนสาวทุ่มสุดตัว ให้นาคแฟนหนุ่มขี่คอวนรอบโบสถ์ หลวงพี่เปิดใจหลังบวช ไม่คิดแฟนจะทำจริง

วันที่ 17 ก.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้คนในโซเชียลต่างพากันฮือฮากับภาพแฟนสาวให้นาค ซึ่งเป็นแฟนหนุ่ม ขี่คอแห่รอบพระอุโบสถ 3 รอบ พร้อมคลิปภาพการซ้อมก่อนวันงานจริง จนมีผู้คนพากันแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังหลวงพี่เต้ หรือ พระสมรักษ์ รุ่งเรือง เล่าว่า ตนคือเจ้านาคตามภาพที่ปรากฏในโซเชียล รู้สึกตื่นเต้น ดีใจมากๆ ไม่คิดว่าแฟนสาวคือน้องไอซ์ จะทุ่มสุดตัวสุดใจ ในการให้ตนในเวลานั้นเป็นเจ้านาคขึ้นขี่คอวนรอบโบสถ์ 3 รอบ ทั้งขย่ม ทั้งเต้น

ตนและแฟนสาว เป็นคนบ้านเนินกระถิน ต.วังเย็น อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ได้จัดงานบวชขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ค. 2567 และก่อนหน้าจะถึงวันบวช แฟนสานคือน้องไอซ์ ก็มีการซ้อมด้วยการให้ตนขี่คอรอบบ้าน

ตอนแรกก็ขำๆ คิดว่าน้องไอซ์จะทำเล่นๆ แต่พอวันจริง ที่มีการแห่นาคจากบ้านไปวัดวังเย็น พอเข้าในกำแพงโบสถ์ ก็เอาจริง น้องไอซ์แต่งชุดราตรีสีขาวมาอย่างสวยน่ารัก พร้อมให้เจ้านาคขึ้นขี่คอ สร้างความฮือฮาไปทุกสายตา บนความสนุกสนาน

ฮือฮา แฟนสาวทุ่มสุดตัว ให้นาคแฟนหนุ่มขี่คอวนรอบโบสถ์ หลวงพี่เปิดใจหลังบวช ไม่คิดแฟนจะทำจริง

ขณะเดียวกัน ยังจะเห็นว่าเจ้านาคได้หว่านโปรยกัลปพฤกษ์แบบไม่อั้น ไม่มีหมด ในขบวนแห่ในรอบโบสถ์ ทราบว่าเป็นเงินที่ทั้งสองเก็บออมทำกัลปพฤกษ์สะสมมาไว้เพื่อวันนี้

พิธีกรดัง สงสารพร้อมช่วย ลิลลี่ เหงียน ดันเข้าวงการ หลังยกหนี้ให้อยากเป็นนักแสดง

เรียกได้ว่า เป็นอีกคนที่กำลังมาแรง อย่าง ลิลลี่ เหงียน ที่ก่อนหน้านั้นได้ไปออกรายการโหนกระแส ปมยืมเงิน และในรายการนั้นมีการพูดคุย ที่ทำเอาชาวเน็ตต่างชื่นชอบ ลิลลี่ เพราะเธอได้เผยถึงเรื่องราวที่ไปรู้จัก ปู ด้วยว่า รู้จักพี่เขาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว รู้จักผ่านรุ่นพี่คนหนึ่งที่สนิทกัน วันนั้นได้ไปกินอาหารญี่ปุ่นแล้วเจอพี่ปู วันนั้นเป็นวันแรก ตอนนั้นลี่โดนข่าวเอิร์ก เลเดอเรอร์โกง

พอรู้จักพี่เขา เขาบอกจะพาน้องลี่ไปหาผู้ใหญ่ เข้าวงการเข้าให้ถูกคน น้องลี่จะได้ไม่โดนหลอก โดนโกงอีกนะ วงการบันเทิง หนูอยากเป็นดารา อยากเป็นนักแสดง อยากเป็นผู้จัด หนูเลยอุ้ย ดีใจจัง เราเข้ามาในวงการเสียเงินเยอะมาก โดนหลอกเยอะมาก พอเจอพี่ปู พี่ปู เขาเป็นนักแสดง หนูเป็นแฟนคลับตั้งแต่เด็ก ชื่อเสียงบารมีครอบครัวก็ถือว่าดังที่สุดแล้ว หนูก็ดีใจ ก็โอเค วันรุ่งขึ้นพี่เขาก็โทรมา น้องลี่ พี่ขอยืมเงินหน่อย เป็นต้น

ล่าสุด ทาง หนุ่ม กรรชัย พูดถึง ลิลลี่ ในรายการ ข่าวใส่ไข่ ตอนหนึ่งว่า “ลิลลี่ อยากเป็นดารา ถามนางว่าเอาไหม ช่อง3 อยากได้นางร้าย นางบอกให้เล่นเป็น กะxx ก็ได้

ด้าน มดดำ คชาภา ออกปากว่า สงสาร ลิลลี่ พร้อมทั้งขอเบอร์ติดต่อ ลิลลี่ จาก กรรชัย เพื่อไปออกรายการ แฉ ด้วย พร้อมทั้งประกาศด้วยว่า จะไปฝากลิลลี่ให้เล่นละคร เอ็นดูนางตลก

เปิดความสัมพันธ์ 6 ศพ แฉสาวอีกคนตัวเชื่อม เศร้าช่างแต่งหน้าโดนดึงร่วมลงทุน

เมื่อวันที่ 17 ก.ค.67 ที่สน.ลุมพินี พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. แถลงภายหลังร่วมประชุมติดตามความคืบหน้ากรณีที่ชาวต่างชาติเสียชีวิต 6 ศพ ภายในโรงแรมชื่อดังย่านราชประสงค์

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้ตรวจชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเกตุ เก็บพยานหลักฐาน สืบสวนสอบสวน ซักถามพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง พยานแวดล้อม และญาติผู้เสียชีวิต มากกว่า 10 ปาก รวมถึงตรวจหลักฐานกระเป๋าเสื้อผ้า 8 ใบ เรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปข้อมูลได้ ดังนี้

สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย มีข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศไทยและการเข้าพักที่โรงแรมนี้ คือ

1.นางสาว ธิ เหงียน เฟือง อายุ 46 ปี สัญชาติเวียดนาม สวมใส่เสื้อสีขาว พบเสียชีวิตใกล้ประตูห้อง เดินทางเข้าไทยวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 13.48 น. จากเมืองโฮจิมินห์ โดยเคยเดินทางมาแล้ว 3 ครั้ง

2.นางสาว ธิ เหงียน เฟือง ลาน อายุ 47 ปี สัญชาติเวียดนาม สวมใส่เสื้อสีชมพู พบเสียชีวิตภายในห้องนอน เดินทางเข้าไทยวันที่ 4 กรกฎาคม เวลา 12.56 น. จากเมืองดานัง โดยเคยเดินทางมาแล้ว 17 ครั้ง

3.นายดิน ซาน ฟู อายุ 37 ปี สัญชาติเวียดนาม พบเสียชีวิตใกล้กันกับผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 นางสาวธิ เหงียน เฟือง และผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 นายฮุง ดัง วาน เดินทางเข้าไทยวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 12.28 น. จากเมืองดานัง โดยเคยเดินทางมาแล้ว 11 ครั้ง

4.นายฮุง ดัง วาน อายุ 55 ปี สัญชาติอเมริกัน ใส่เสื้อสีกรมท่า พบเสียชีวิตใกล้กับผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 นางสาวธิ เหงียน เฟือง เดินทางเข้าไทยครั้งแรก วันที่ 7 กรกฎาคม เวลา 09.55 น. จากเมืองไทเป ไต้หวัน

5.นางสาวเชอรีน ชอง อายุ 56 ปี สัญชาติอเมริกัน พบเสียชีวิตบริเวณโต๊ะอาหาร เดินทางเข้าไทยวันที่ 5 กรกฎาคม เวลา 13.05 น. จากเมืองโฮจิมินห์ โดยเคยเดินทางมาแล้ว 5 ครั้ง และนางสาวเชอรีน เป็นผู้ที่เข้าพักห้อง 502 ซึ่งเป็นห้องที่เกิดเหตุ

6.นายฮง ฟาม ธาน อายุ 49 ปี สัญชาติเวียดนาม เป็นสามีของผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 นางสาวธิ เหงียน เฟือง พบเสียชีวิตในห้องนอน เดินทางเข้าไทยครั้งแรก โดยมาพร้อมกันกับภรรยา วันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 13.48 น. จากเมืองโฮจิมินห์ โดยเป็นคนที่ไม่ปรากฏรายชื่อเช็กอินเข้าพักที่โรงแรม เนื่องจากใช้ชื่อของภรรยาในการจองห้องเข้าพัก

ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่า มีการจองโรงแรมเพื่อเข้าพัก 7 คนนั้น จากการตรวจสอบของ ตม.พบว่า คนที่ 7 เป็นน้องสาวของผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 ซึ่งเดินทางเข้าไทยมาพร้อมกับพี่สาวเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม แต่เดินทางกลับไปก่อนเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ซึ่งทาง ตม.อยู่ระหว่างประสานเพื่อสอบถามสาเหตุการเดินทางกลับก่อน

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงแรม พบว่า ทุกคนได้มาเช็กอินเข้าพักด้วยตัวเอง และไม่มีบุคคลอื่นเข้าไปพักด้วยเลย และภาพจากกล้องวันที่ 14-15 กรกฎาคม ตามไทม์ไลน์ที่เกิดเหตุ ณ เวลานี้ยืนยันได้ว่า ไม่มีบุคคลอื่น นอกเหนือจาก 6 คนนี้ที่เข้าไปในห้อง 502 ที่เกิดเหตุเลย ทั้งทางประตูหน้าและประตูหลัง นอกจากพนักงานเสิร์ฟอาหารที่ได้เรียกมาให้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว

ซึ่งวันที่พบศพคือ วันที่ 16 กรกฎาคม เวลา 16.30 น. พนักงานโรงแรมได้เข้าไปตรวจสอบ เพราะเลยเวลาเช็กเอาท์แล้ว พอส่องไฟไปที่ใต้ประตูพบมีคนนอนอยู่ นึกว่าเป็นลม จึงไปนำเครื่องปั๊มหัวใจ แต่ประตูด้านหน้าห้องล็อกจากด้านใน จึงอ้อมไปด้านหลัง พบทั้ง 6 คนเสียชีวิต จึงมาเปิดประตูด้านหน้า เรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

โดยเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม พบว่า ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 เป็นผู้เข้าพักห้องที่เกิดเหตุ โดยอีก 5 คน เข้ามาที่ห้องนี้ช่วง 23.00-24.00 น. แล้วแยกย้ายกลับห้องตัวเอง พอวันที่ 15 กรกฎาคม ทั้งหมดขนกระเป๋ามารวมกันที่ห้อง 502 หลังจากเช็กเอาท์ห้องอื่นๆ โดยผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 ได้สั่งอาหารจากโรงแรม ตอนเวลา 11.42 น. โดยสั่งข้าวผัด 5 จาน, ต้มยำกุ้ง 4 จาน, ผัดผัก 4 จาน , ผัดผักบุ้ง 1 จาน และชาร้อนอังกฤษ 2 กา พร้อมแก้วน้ำชา 6 ใบ

ต่อมาผู้เสียชีวิตหมายเลข 3 ได้สั่งอาหารเพิ่มเป็นข้าวผัด 1 จาน ขอให้มาส่งที่ห้องเวลา 14.00 น. ซึ่งพนักงานเสิร์ฟ ได้มาส่งอาหารเวลา 13.51 น. ใช้เวลาเข้าไปเสิร์ฟอาหาร 6 นาที ซึ่งจากการสอบปากคำพนักงานเสิร์ฟ บอกว่า ตอนเข้าไปพบเพียงแค่ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 ซึ่งพนักงานบอกว่าจะขอชงชาให้ แต่ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 บอกว่าไม่ต้อง ขอจัดการเอง

ทั้งนี้ พนักงานเสิร์ฟบอกว่า สังเกตเห็นว่าผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 มีอาการค่อนข้างเครียด ไม่ยิ้มแย้ม ขนาดพนักงานเสิร์ฟแซวว่า แต่งชุดสวย ก็ยังไม่ยิ้ม

หลังพนักงานเสิร์ฟกลับออกมา ตอนเวลา 13.57 หลังจากนั้น ตั้งแต่เวลา 14.03 น. ผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาที่ห้อง 502 และหลังจากนั้นไม่พบใครเข้าออกอีกเลยจนกระทั่งพบศพ

ขณะที่ผลตรวจของ พฐ. ในเบื้องต้นพบว่า ที่กระติกชาและแก้วทั้ง 6 ใบในห้องพัก พบสารไซยาไนด์ ดังนั้น ณ เวลานี้ ฝ่ายสืบสวนจึงเชื่อว่า 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต ก่อเหตุใช้สารไซยาไนด์ผสมกับเครื่องดื่มหลังจากพนักงานเสิร์ฟกลับออกมา ซึ่งหลังจากนี้จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลเพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างรอผลพิสูจน์หลักฐานทั้งหมด, ผลชันสูตรศพ, ดีเอ็นเอลายนิ้วมือแฝง รวมถึงประสานกับสถานทูตเวียดนาม สถานทูตสหรัฐอเมริกา และ FBI เข้ามาร่วมคลี่คลายด้วย

ส่วนญาติของผู้เสียชีวิตบางส่วนได้เรียกมาสอบปากคำแล้วเมื่อคืนนี้ ซึ่งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งของกลุ่มผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตเชื่อว่ามี 1 ใน 6 คนที่ทำให้เกิดเหตุขึ้น ไม่ได้ติดใจในประเด็นอื่น

โดยญาติให้ข้อมูลว่า ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 ได้ให้ผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 เป็นนายหน้าไปชักชวนผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 และผู้เสียชีวิตหมายเลข 6 เป็นสามีภรรยากัน ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทำถนนที่ประเทศเวียดนาม ให้ร่วมลงทุนการก่อสร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น คิดมูลค่าเป็นเงินไทย 10 ล้านบาท

แต่ต่อมาไม่เห็นความคืบหน้าการลงทุนดังกล่าว ผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 และผู้เสียชีวิตหมายเลข 6 จึงได้ทวงถามมาตลอด จนล่าสุดทั้งหมดนัดหมายจะไปเคลียร์เรื่องนี้กันที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่า จึงเปลี่ยนมาที่ประเทศไทยแทน และทราบว่าทั้งหมดมีแพลนจะไปไหว้พระที่วัดยานนาวาด้วย

“ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัวของทั้ง 6 คน ไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ผลักดันมาก่อเหตุในประเทศไทยแต่อย่างใด”รองผบช.น. กล่าว

รองผบช.น. กล่าวว่า ส่วนการตรวจสอบกระเป๋าเดินทางทั้ง 8 ใบของผู้เสียชีวิต ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ แต่พบเอกสารการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับที่ดินของผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 แต่คู่ความเป็นบุคคลอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้เสียชีวิต

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้สั่งการให้ชุดสืบสวน ไปไล่ตรวจสอบไทม์ไลน์ของกลุ่มผู้เสียชีวิตทั้งหมด ตั้งแต่เดินทางถึงประเทศไทย ว่าได้เดินทางไปที่ไหน ไปพักที่โรงแรมแห่งใดบ้าง พบปะใครบ้าง เพื่อหาความชัดเจนว่าทั้งหมดทำธุรกิจอะไร และเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่ออะไร โดยได้ให้ ตม.ประสานกับสถานทูตตรวจสอบประวัติภูมิหลังของทุกคนด้วย

สำหรับที่มาของสารไซยาไนด์ที่พบ อยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติมว่าเป็นการนำเข้ามา หรือมาสั่งซื้อในประเทศไทยอย่างไร รวมถึงหีบห่อที่บรรจุสารดังกล่าวก่อนผสมในเครื่องดื่ม ก็ต้องรอผลอย่างละเอียดจาก พฐ.อีกครั้ง

ส่วนความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้เสียชีวิต นอกจากผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 และหมายเลข 2 ที่ชักชวนผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 และหมายเลข 6 มาร่วมลงทุน ในส่วนของผู้เสียชีวิตหมายเลข 3 และหมายเลข 4 ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด แต่ 2 คนนี้ยังไม่ได้ให้เงินลงทุน แต่เชื่อว่าน่าจะถูกชักชวนมาเพื่อพูดคุยให้ลงทุนเช่นกัน และพบว่าผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 เป็นผู้จองห้องพักให้ผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 แต่ผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 ใช้บัตรเครดิตของตนเองในการรูดจอง

ขณะที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า จากการเก็บวัตถุพยานทั้งแก้วกาแฟ กระติกชา และเก็บตัวอย่างของเหลวในกระติกชา ขวดน้ำผึ้ง กล่องชา เพื่อไปหาสารพิษ และเก็บลายนิ้วมือแฝง สำหรับผลการตรวจเชิงคุณภาพเบื้องต้น พบว่ามีสารไซยาไนด์ อยู่ที่ของเหลวในกระติกน้ำชา และยังพบสารไซยาไนด์ในคราบที่ติดอยู่ที่ถ้วยกาแฟทั้ง 6 ถ้วย รวมถึงจากตัวอย่างเลือดศพที่เสียชีวิตที่นั่งพิงกำแพงอยู่ ก็พบว่าเลือดมีส่วนผสมของสารไซยาไนด์

ส่วนการตรวจเชิงปริมาณว่าจะมีปริมาณสารไซยาไนด์มากน้อยแค่ไหน หรือมีสารประกอบอื่นหรือไม่ หลังเที่ยงวันนี้ จะทยอยวิเคราะห์ผลออกมา รวมถึงตัวอย่างอาหารที่ทยอยเก็บไปด้วย และจากการสอบปากคำพนักงานเสิร์ฟ ยืนยันว่า กระติกสแตนเลสทั้ง 2 กระติกเป็นของโรงแรมที่นำชามาเสิร์ฟ

สำหรับสารไซยาไนด์นั้น จะออกฤทธิ์เฉียบพลันอยู่แล้ว ส่งผลต่อระบบหัวใจ แต่รายละเอียดการวางยาเป็นอย่างไรยังตอบไม่ได้ แต่การตรวจสอบแก้วทั้ง 6 ใบ เชื่อว่าดื่มกันทุกคน

ด้าน พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระบุว่า ในส่วนของ ตม. ได้ประสานขอข้อมูลผ่านทางสถานทูตเวียดนามและสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาประกอบกับข้อมูลของชุดสืบสวน ซึ่งจะทำให้ได้ความชัดเจนของคดีนี้มากขึ้น

ขณะที่ทาง FBI ได้มาขอข้อมูล แต่การสอบสวนยังอยู่ที่ตำรวจไทย และยืนยันได้ว่า ทั้งหมดไม่มีใครมีหมายจับไม่ว่าจะเป็นหมายจับสีใด เพราะหากมีหมายจับก็ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้อยู่แล้ว รวมถึงจากการตรวจสอบประวัติภายในประเทศต้นทาง ก็ไม่พบประวัติคดีอาชญากรรม

ด่วน! ฝายชัยภูมิแตกอีกจังหวัดแล้ว มวลน้ำมหาศาล กระทบ 1,000 หลังคาเดือดร้อนหนัก

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม  ที่ จ.ชัยภูมิ อิทธิพลร่องมรสุมพาดผ่านประเทศไทย รวมถึงพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เกิดฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ทั้งในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เกิดฝนตกตลอดทั้งวันมามาตั้งแต่วันที่ 15-16 ก.ค.67 ทำให้เกิดน้ำหลากในหลายพื้นที่ รวมถึงในพื้นที่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ประกอบกับมวลน้ำสะสม และมวลน้ำจากเทือกเขาพังเหย ไหลลงผ่านช่วงน้ำตกในเขตอุทยานแห่งชาติไทรทองจำนวนมาก และไหลผ่านมาตามลำห้วยลำเชียงทา มวลน้ำมหาศาลได้ไหลทะลักซัดเอาฝายน้ำล้นบ้านโนนม่วง หมู่ที่ 8 ต.วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ เกิดการพังทลายไปชั่วพริบตาไปครึ่งฝายน้ำล้น เนื่องจากฝนยังตกหนักต่อเนื่อง ทำให้น้ำกัดเซาะผนังฝายขาด เบื้องต้นยังมีการพังทลายของหน้าดินอย่างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำที่เก็บกักไว้ในฝายดังกล่าวเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ภาพจาก ข่าวนายางกลัก

ซึ่งขณะนี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถใช้สัญจรเส้นทางผ่านสันฝายระหว่างหมู่บ้านได้ มีชาวบ้านกว่า 1,000 หลังคาเรือน ที่ได้รับผลกระทบที่ต้องขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคหลังจากน้ำลดตามมาอีกจำนวนมากด้วย เนื่องจากฝายกักเก็บน้ำดังกล่าวพังเสียหายในครั้งนี้ ซึ่งล่าสุดทางอำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบเรื่องพร้อมกับรายงานให้ทางจังหวัดทราบแล้วในเบื้องต้นแล้ว และให้ผู้นำชุมชนได้แจ้งเตือนชาวบ้านที่อยู่ใต้น้ำฝายที่แตกจะมีน้ำจำนวนมากไหลผ่านให้เฝ้าระวังและเตรียมอพยพชาวบ้าน

ภาพจาก ข่าวนายางกลัก

เพื่อรับมือสถานการณ์น้ำหลากอย่างต่อเนื่องหากมีเหตุฉุกเฉิน รวมถึงให้ อบต.วังตะเฆ่ ตั้งชุดคณะทำงานเพื่อให้การช่วยเหลือหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในตลอด 24 ชั่วโมงจากนี้ไปด้วย และฝากชาวบ้านที่หาปลาตามลำห้วยควรติดตามข่าวสารจากทางผู้นำชุมชนที่จะแจ้งข้อมูลข่าวต่างอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายทั้งทางชีวิต และทรัพย์ได้หากเกิดเหตุน้ำป่าไหลหลากที่รุนแรงตามมาอีกได้

ผลตรวจกาน้ำ-ถุงชา เผยไซยาไนด์ออกฤทธิ์แรงใน 5 นาที ไร้รสไร้กลิ่น

จากกรณีพบผู้เสียชีวิต 6 ราย เป็นชาย 3 หญิง 3 ภายในห้องพักโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ ในพื้นที่ สน.ลุมพินี โดยถูกวางยาพิษ ก่อนมีรายงานว่า การเสียชีวิตในครั้งนี้เกิดจากบุคคล 1 ใน 6 ที่เสียชีวิต เป็นผู้กระทำวางยาทั้งหมด ก่อนจะเสียชีวิตเป็นรายสุดท้าย โดยมีสาเหตุมาจากปมหนี้สิน 10 ล้าน ที่ชักชวนมาลงทุน

สำหรับความคืบหน้า วันที่ 17 ก.ค.67 ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. เข้าฟังบรรยายการตรวจวัตถุพยานที่พบในที่เกิดเหตุ โรงแรมชื่อดังย่านราชประสงค์ หลังพบชาวต่างชาติเสียชีวิต 6 ศพ

ตรวจสอบเบื้องต้น พบแก้วทั้ง 5 ใบที่อยู่บนโต๊ะชา และแก้วอีก 1 ใบที่พบบนโต๊ะกินข้าว พบมีสารไซยาไนด์ และจะมีอีกรายการที่สงสัย เพราะตรวจเจอในน้ำชาที่อยู่ในกาโลหะ ซึ่งมีทั้งหมด 3 กาะ โดยมี 2 กาที่ตรวจไม่เจอ และอีก 1 กาโลหะที่ตรวจพบว่ามีสารไซยาไนด์ปนอยู่

นอกจากนี้พบถุงชาที่มีสารไซยาไนด์อยู่ในนั้น ขณะที่ถุงชาอีก 1 ถุง พบในถังขยะพบสารไซยาไนด์ลักษณะเช่นเดียวกัน เนื่องจากถุงชามีสีเข้มถึงดำ ส่วนรายการอื่นๆ เบื้องต้นไม่พบสารไซยาไนด์เลย

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า “สำหรับการออกฤทธิ์ของสารไซยาไนด์ เมื่อถูกผสมน้ำจะไม่มีรสชาติ ไม่มีกลิ่น ผู้ดื่มไม่สารมารถรู้ได้ และเมื่อดื่มสารไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เม็ดเลือดไม่แลกเปลี่ยนออกซิเจน โดยออกฤทธิ์ไม่ถึง 5 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณ และเมื่อเสียชีวิตตามร่างกายผิวจะออกสีชมพู ลมหายใจจะมีกลิ่นอัลมอนด์“

เปิดภาพ 'ถุงชา' ในกาน้ำร้อนที่ 6 ศพดื่ม พบฆาตกรใส่ไซยาไนด์ไว้ที่ใบชา จนสีเข้มผิดปกติ

จากกรณีพบชาวเวียดนามเสียชีวิต 6 ราย ในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ สน.ลุมพินี โดยผู้เสียชีวิตเป็นสัญชาติเวียดนาม 4 คน และสัญชาติอเมริกัน 2 คน ในที่เกิดเหตุพบร่องรอยการดื่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าทั้งหมดอาจถูกวางยาพิษ

ต่อมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. เปิดเผยว่า จากการตรวจที่เกิดเหตุ ทั้งชา กาแฟและหลักฐานที่พบ เมื่อนำเครื่องดื่มในที่เกิดเหตุไปตรวจในเชิงคุณภาพ พบสารไซยาไนด์ในกาน้ำชา และถ้วยกาแฟทั้ง 6 ใบ

เช่นเดียวกัน จากการตรวจร่างกายผู้เสียชีวิต พบว่าเลือดทั้ง 6 ศพ มีส่วนผสมของไซยาไนด์ทั้งหมด

สำหรับรายงานข่าวเพิ่มเติม ล่าสุด มีรายงานข่าวจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เล่าว่า สารไซยาไนด์ ที่ถูกพบนั้นถูกใส่ไว้กับ “ใบชา”

เนื่องจากการตรวจสอบใบชาที่อยู่ในกาน้ำร้อน พบว่าใบชานี้มีสารพิษไซยาไนด์ในปริมาณที่มาก เนื่องจากหากชงชาตามปกติ ใบชาจะมีสีน้ำตาลอ่อน แต่ลักษณะใบชาที่ตรวจสอบ พบว่าใบชามีสีเข้มมาก ทำให้คาดว่าน่าจะมีปริมาณสารพิษอยู่จำนวนมาก

พ่อแม่ ของฟู้ ซา ซา ช่างแต่งหน้าชาวเวียดนาม เปิดใจถึงประโยคสุดท้ายของลูก ก่อนรู้ข่าวว่าเสียชีวิต

วันที่ 17 ก.ค. 2567 จากกรณีมีรายงานการเสียชีวิตของ ช่างแต่งหน้าดังเวียดนาม ชื่อว่า ฟู้ ซา ซา หรือ Phú Gia Gia 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต เหตุวางยาฆาตกรรมหมู่ โรงแรมหรูกลางกรุง ย่านราชประสงค์ โดยมีผู้ก่อเหตุเป็นชาวเวียดนาม สัญชาติอเมริกัน

ล่าสุด มีรายงานจากสื่อของเวียดนาม วีเอ็นเอ็กซ์เพรส ระบุว่า นางตวี อายุ 58 ปี แม่ของ ช่างแต่งหน้าดังเวียดนาม ผู้เสียชีวิต เปิดเผยกับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า เมื่อคืนตกใจมาก หลังรู้ข่าวร้ายจากเพื่อนร่วมงานของลูกชาย และศิลปินที่เขาร่วมงานด้วย ฉันกับสามีตกใจมาก

นางตวี กล่าวอีกว่า หลังจากที่ได้เห็นรายงานข่าวจากไทย ยิ่งตกใจหนักและไม่สามารถทำใจยอมรับได้ว่าลูกชาย ซึ่งเป็นช่างแต่งหน้าชาวเวียดนาม อายุ 37 ปี ของตัวเองนั้นเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ ลูกชายบอกกับครอบครัวว่า จะเดินทางไปทำงานที่ประเทศไทย 3 วัน แต่ไม่ได้บอกว่าไปกับใคร นายฟู้ ซา ซา ออกจากบ้านเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ค. 2567 และมีกำหนดการเดินทางกลับวันที่ 14 ก.ค. 2567

นอกจากนี้ นางตวี ยังได้ให้สัมภาษณ์อีกว่า เมื่อวันที่อาทิตย์ที่ผ่านมา (14. ก.ค. 2567) พ่อของ นางฟู้ ซา ซา ได้โทรมาหาลูกชายเพื่อยืนยันวันและเวลากลับของลูก แต่ทางด้านของ นายฟู้ ซา ซา บอกว่างานยังไม่เสร็จ และจะกลับวันรุ่งขึ้นแทน ซึ่งตั้งแต่วันนั้น ครอบครัวก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อีกเลย กระทั้งมีรายงานข่าวการเสียชีวิตของเขา

ทั้งนี้ นายฟู้ ซา ซา มีชื่อจริงว่า นายเจิ่น ติ่ญ ฟู้ (Tran Dinh Phu) ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองดานัง และอยู่ในวงการแต่งหน้ามาเกือบ 20 ปี ทั้งยังเคยร่วมงานกับเหล่าคนดัง ดารา ศิลปิน และนางงามมากมาย

ด้าน นายฝ่าม เหวียต หุ่ง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจำประเทศไทย เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุหลังทราบข่าวและว่าทางสถานทูตกำลังประสานงานกับหน่วยงานไทยเพื่อชี้แจงสถานการณ์ รวมถึงดำเนินมาตรการคุ้มครองพลเมืองชาวเวียดนาม

แพงอะไรเบอร์นี้! สาวสั่งกับข้าว 3 อย่าง ร้านข้าวแกง ถึงกับงงตอนจ่าย หมดนี่ 820 บาทเลยเหรอ

ต้องบอกเลยว่าในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็เคยเจอร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าในราคาที่ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคหรือบริโภคก็ตาม เนื่องด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นก็เลยทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นตาม แต่ผู้คนก็อดตกใจไม่ได้กับค่าอาหารที่เพิ่มขึ้น ดังเช่นกับผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่ได้พบเจอมากับการซื้อกับข้าว 3 อย่างในตลาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีราคาถึง 820 บาท

โดยเจ้าของเรื่องได้โพสต์ในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภค ระบุว่า ตนไปซื้อครั้งแรกแบบคนไม่มีความรู้ในการเดินตลาดแห่งนี้ เพราะไปแค่ปีละครั้ง ตอนเจอร้านขายแกงร้านหนึ่งที่ดูน่ากินมากและมีหลากหลาย ก็เดินเข้าไปซื้อทันที ซึ่งตนก็ยอมรับว่า ตนก็ผิดเองที่ไม่ถามราคาก่อน เพราะคิดว่ารู้แล้วเรื่องที่ตลาดนี้ขายของแพงกว่าที่อื่นมาก แต่ไม่คิดว่าจะแพงเท่านี้

ตนสั่งไป 3 อย่างตามรูป จนเมื่อถามราคาตอนจ่ายเงิน ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากับข้าว 3 อย่างนี้ราคา 820 บาท โดย ปลาทูต้ม 2 ตัว 380 บาท กุ้งทอดกระเทียม 400 บาท และที่เหลือคือปลาดุกผัดพริก 40 บาท ซึ่งเมื่อสั่งแล้วเธอก็ต้องจ่ายเงิน แล้วก็เดินออกมาด้วยความงง ว่ามันแพงขนาดนี้เลย ทั้งนี้ ตนขอฝากถึงทุกคนที่อาจจะไม่เคยเดินตลาดในย่านนั้น ว่าโปรดถามราคาก่อนซื้อ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปแล้วนั้น ก็กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากจากชาวเน็ต โดยหลายคนยืนยันว่าในตลาดดังกล่าวขายของแพงจริง ราคาดังกล่าวอาจจะเป็นปกติของตลาดนี้แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าแพงมากเมื่อเทียบกับอาหารตามร้านอื่น ๆ มีแค่ปลาดุกผัดเผ็ดที่ราคารับได้ นอกจากนี้ ยังมีคนสงสัยเรื่องที่ทางร้านได้ติดป้ายราคาด้วยหรือไม่ และตั้งข้อสังเกตว่าราคากับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นถุงมัดแบบนี้ ดูไม่ค่อยเหมาะกันสักเท่าไหร่

Popular Posts

My Favorites

ดาราสาวชื่อดังแอดมิดด่วน เข้าผ่าตัด อั้ม พัชราภา อดห่วงไม่ได้

0
คนบันเทิงและแฟนคลับต่างส่งกำลังใจให้ แม้กระทั่ง อั้ม พัชราภา ก็ให้กำลังใจน้องสาวสุดที่รักอย่าง แหวนแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ หลังโพสต์อินสตราแกรมส่วนตัว @whanpavarisa เผยภาพแอดมิดที่โรงพยาบาล พร้อมข้อความเผยอาการป่วย จนต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว โดยบอกว่า “Thank you so much for these beautiful flowers @kornnarongdej @sriritajensen @point_of_view_th...