หมอเจด ได้โพสต์บน Facebook  ว่า

ปอดแตกคืออะไร? แล้วปอดซ้าย-ขวาของเราทำงานต่างกันยังไง?

ก่อนอื่นเลย มาทำความรู้จักกับอวัยวะสุดเจ๋งที่ชื่อ “ปอด” กันก่อนครับ ปอดของเราเปรียบเสมือนโรงไฟฟ้าพลังงานออกซิเจนของร่างกาย ทำหน้าที่ฟอกอากาศเสีย (คาร์บอนไดออกไซด์) ออกไป แล้วเติมอากาศดี (ออกซิเจน) เข้าสู่เลือดเพื่อให้เรามีแรงวิ่งเล่น ทำงาน หรือแม้กระทั่งนอนหลับครับ ปอดเรามี 2 ข้าง อยู่ในช่องอก โดยมีหัวใจคอยเป็นเพื่อนบ้านอยู่ตรงกลาง

“ภาวะปอดแตก” หรือปอดรั่ว มันคือสถานการณ์ที่มีอากาศเข้าไปอยู่ใน “ช่องเยื่อหุ้มปอด” ซึ่งเป็นช่องว่างบางๆ ระหว่างปอดกับผนังช่องอก ลองนึกภาพตามนะครับ ปกติในช่องนี้แทบไม่มีอากาศเลย ทำให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่เหมือนลูกโป่งในขวดโหล แต่พอมีอากาศรั่วเข้าไป (อาจจะจากตัวปอดเองหรือจากภายนอก) มันจะไปสร้างแรงดันเบียดให้เนื้อปอดที่นุ่มๆ ของเราแฟบลง ปอดก็เลยขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ทำให้เราหายใจลำบากนั่นเองครับ มันไม่ใช่การแตกโพละ! แบบที่เราคิด แต่มันคือการ “รั่ว” ที่ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อการหายใจของเราครับ

หมอเจด เผย

อาการแบบไหนที่ต้องสงสัย? สัญญาณเตือนภัยจากร่างกาย

* เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน: อันนี้เป็นอาการเด่นที่สุดเลยครับ อยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาที่หน้าอกข้างใดข้างหนึ่ง เหมือนมีใครเอาเข็มมาทิ่ม ความเจ็บอาจจะร้าวไปที่ไหล่หรือหลังของข้างนั้นๆ ได้ อาการเจ็บมักจะสัมพันธ์กับการหายใจ คือยิ่งหายใจเข้าลึกๆ ก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้น

* เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก: เมื่อปอดแฟบลง การแลกเปลี่ยนออกซิเจนก็ทำได้ไม่ดีเท่าเดิม ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้นมาดื้อๆ จากที่เคยเดินขึ้นบันไดสบายๆ อาจจะรู้สึกหอบเหมือนวิ่งมาราธอน หายใจได้ไม่เต็มอิ่ม หายใจสั้นๆ ถี่ๆ

* ไอแห้งๆ: อาจมีอาการไอแห้งๆ กะทันหันร่วมด้วย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่พยายามจะเคลียร์สิ่งผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ

* ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว: เมื่อร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง หัวใจของเราจะพยายามทำงานหนักขึ้นเพื่อชดเชย โดยการปั๊มเลือดให้เร็วขึ้น เลยทำให้เรารู้สึกใจสั่นได้ครับ

หมอเจด เผย \"ปอดแตก\" คืออะไร เกิดจากอะไรได้บ้าง อาการเป็นอย่างไร

ปอดแตกเกิดจากอะไรได้บ้าง?

มาถึงคำถามยอดฮิต “แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง?” สาเหตุของปอดแตกแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ครับ คือแบบที่ “เกิดขึ้นเอง” กับแบบที่ “มีสาเหตุจากปัจจัยภายนอก” มาดูกันทีละกลุ่มเลย

กลุ่มที่ 1: ปอดแตกที่เกิดขึ้นเอง (Spontaneous Pneumothorax)

อันนี้คืออยู่ดีๆ ก็เป็นขึ้นมาเองเลยครับ แบ่งย่อยได้อีก 2 แบบ

* แบบปฐมภูมิ (Primary Spontaneous Pneumothorax – PSP): แบบนี้มักเกิดในคนอายุน้อย (ช่วง 20-30 ปี) ที่ไม่ได้มีโรคปอดอะไรมาก่อนเลย กลุ่มเสี่ยงหลักๆ คือ คนรูปร่างสูงผอม และ คนที่สูบบุหรี่ ครับ เชื่อกันว่าในคนกลุ่มนี้อาจจะมี “ถุงลมโป่งพองขนาดเล็ก” (Blebs/Bullae) ที่ผิดปกติตรงผิวปอด ซึ่งเจ้าถุงลมจิ๋วๆ นี่แหละครับที่วันดีคืนดีก็ปริแตกออกมา ทำให้ลมรั่วเข้าช่องเยื่อหุ้มปอด เหมือนยางในจักรยานที่มีจุดเปราะบางอยู่แล้ว พอเจอลมแรงๆ ก็เลยรั่วนั่นเอง การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงมหาศาลเลยนะครับ เพราะมันทำให้ปอดอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของถุงลมได้ง่ายขึ้น

* แบบทุติยภูมิ (Secondary Spontaneous Pneumothorax – SSP): แบบนี้จะเกิดในคนที่มีโรคปอดเดิมเป็นทุนอยู่แล้วครับ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง (COPD) จากการสูบบุหรี่มานาน, โรคหืด, วัณโรค, มะเร็งปอด หรือการติดเชื้อในปอด เนื้อปอดของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความอ่อนแออยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสเกิดการฉีกขาดและรั่วได้ง่ายกว่าคนปกติมากครับ แบบนี้มักจะอาการรุนแรงกว่าแบบแรกด้วย

กลุ่มที่ 2: ปอดแตกจากปัจจัยภายนอก (Traumatic Pneumothorax)

กลุ่มนี้สาเหตุจะชัดเจนกว่าครับ คือเกิดจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่บริเวณทรวงอก

* อุบัติเหตุ: เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การตกจากที่สูง การถูกกระแทกอย่างรุนแรงที่หน้าอกจนกระดูกซี่โครงหัก แล้วปลายกระดูกที่หักไปทิ่มเนื้อปอด

* การถูกของมีคม: เช่น ถูกแทง หรือบาดแผลทะลุช่องอก ทำให้มีอากาศจากภายนอกวิ่งเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอดได้โดยตรง

4.เมื่อไหร่ต้องผ่าตัด?

ขั้นตอนการรักษาก็จะเริ่มต้นขึ้นครับ เป้าหมายหลักของการรักษามี 2 อย่างคือ 1. เอาลมที่รั่วออกมาให้หมดไป เพื่อให้ปอดกลับมาขยายตัวได้เหมือนเดิม และ 2. ป้องกันไม่ให้มันกลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งวิธีการรักษาก็มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและขนาดของลมที่รั่วครับ

แบบชิลล์ๆ (ไม่ต้องผ่าตัด):

* สังเกตอาการ (Observation): ในกรณีที่ลมรั่วออกมาน้อยมากๆ (ปอดแฟบไปไม่เกิน 15-20%) และผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยหรือเจ็บหน้าอกรุนแรง คุณหมออาจจะให้พักผ่อน นอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ และให้ออกซิเจนเสริม เพราะออกซิเจนจะช่วยเร่งให้ร่างกายดูดซึมลมที่รั่วในช่องอกกลับเข้าไปได้เร็วขึ้นครับ เหมือนปล่อยให้แผลเล็กๆ สมานตัวเอง

* ใช้เข็มเจาะระบายลม (Needle Aspiration): ถ้าลมที่รั่วมีปริมาณมากขึ้นมาหน่อย แต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง คุณหมออาจจะใช้เข็มเล็กๆ เจาะเข้าไปที่ช่องอกเพื่อดูดเอาลมส่วนเกินออก วิธีนี้ทำได้ง่ายและรวดเร็วครับ

* ใส่ท่อระบายทรวงอก (Chest Tube Drainage): นี่คือวิธีมาตรฐานสำหรับกรณีที่ลมรั่วเยอะ ปอดแฟบมาก หรือผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยชัดเจน เพื่อให้ลมจากช่องอกไหลออกมาได้ทางเดียว แต่ลมจากข้างนอกไม่สามารถย้อนกลับเข้าไปได้ครับ เราจะต้องใส่ท่อนี้คาไว้ 2-3 วัน หรือจนกว่ารอยรั่วที่ปอดจะปิดสนิทและไม่มีลมออกมาเพิ่มแล้วครับ

แบบแอดวานซ์ (ต้องผ่าตัด):

การผ่าตัดสมัยนี้ก็ไม่ต้องน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ ส่วนใหญ่จะใช้วิธี “ผ่าตัดส่องกล้อง” (Video-Assisted Thoracoscopic Surgery – VATS) ซึ่งแผลจะเล็กมาก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว คุณหมอจะเข้าไปตัดเอาถุงลมที่ผิดปกติ (Blebs/Bullae) ออก แล้วทำการ “ขัด” หรือ “ทำให้เยื่อหุ้มปอดสมานติดกัน” เพื่อไม่ให้มีช่องว่างให้ลมรั่วเข้าไปได้อีกในอนาคตครับ

5. สังเกตตัวเอง หลีกเลี่ยงความเสี่ยง เพื่อปอดที่แข็งแรง!

มาถึงข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดครับ คือการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงและอยู่ห่างไกลจากภาวะปอดแตกให้มากที่สุด หมอขอสรุปเป็นข้อๆ ให้จำไปใช้กันง่ายๆ เลยครับ

* บอกลาบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า: อันนี้คือหัวใจหลักเลยครับ! ไม่ว่าจะปอดแตกแบบเกิดขึ้นเองในคนหนุ่มสาว หรือแบบที่มีโรคปอดอยู่แล้ว “บุหรี่” คือผู้ร้ายตัวจริงเสียงจริงที่เพิ่มความเสี่ยงมหาศาล สารพิษในควันบุหรี่ทำลายเนื้อปอดโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบและถุงลมที่เปราะบาง ถ้าคุณสูบอยู่ การเลิกวันนี้คือการลงทุนเพื่อสุขภาพปอดที่ดีที่สุดในระยะยาวครับ รักปอดต้องงดสูบนะครับ!

* หลีกเลี่ยงมลพิษและสารเคมี: ฝุ่น PM2.5 ควันพิษ หรือไอระเหยจากสารเคมีต่างๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำร้ายปอดของเราได้เช่นกัน พยายามอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก หากต้องอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษสูง ควรสวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานเพื่อป้องกันครับ

* ระมัดระวังอุบัติเหตุ: แน่นอนว่าอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เช่น คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ขับรถ ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ก็ช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บที่รุนแรงบริเวณทรวงอกได้ครับ

* คนที่มีโรคปอดต้องใส่ใจเป็นพิเศษ: หากคุณมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอด เช่น COPD หรือหืด ควรดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทานยาให้สม่ำเสมอ เพื่อควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะสงบ จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนอย่างปอดแตกได้ครับ

* รู้จักสังเกตอาการ: สุดท้าย กลับมาที่การเป็นนักสืบร่างกายตัวเองครับ หากคุณเป็นกลุ่มเสี่ยง (เช่น สูง ผอม สูบบุหรี่) หรือเคยเป็นปอดแตกมาแล้ว การหมั่นสังเกตอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลันหรืออาการเหนื่อยที่ผิดปกติ จะทำให้คุณรู้ตัวเร็วและไปพบแพทย์ได้ทันท่วงทีครับ

สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเองนะครับ! การดูแลปอดของเราให้แข็งแรงก็เหมือนการดูแลเพื่อนคู่ใจที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต มาใส่ใจ “โรงไฟฟ้าพลังงานชีวิต” ของเรากันตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะได้หายใจเข้าเต็มปอดได้อย่างมีความสุขในทุกๆ วันนะครับ!

ด้วยรักและห่วงใย

หมอเจด เผย \"ปอดแตก\" คืออะไร เกิดจากอะไรได้บ้าง อาการเป็นอย่างไร