ทำไมเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1582 หายไป 10 วัน? เรื่องจริงจากประวัติศาสตร์ “ปฏิทินโลก” ที่คุณอาจไม่เคยรู้

เพจเฟสบุ๊ก โบราณนานมา ได้หยิบประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ปฏิทินในปี ค.ศ. 1582 ขึ้นมาเล่าอีกครั้ง โดยอ้างถึงโพสต์จากเพจ Kodkid.iq ที่ระบุว่า เดือนตุลาคม ปี 1582 มีเพียง 21 วันเท่านั้น เพราะหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม วันถัดไปคือวันที่ 15 ตุลาคมทันที ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า “ทำไมวันเวลาถึงหายไป 10 วัน?”

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง: ปฏิทินจูเลียน

ในยุคของ จูเลียส ซีซาร์ แห่งสาธารณรัฐโรมัน เมื่อ 45 ปีก่อนคริสตกาล โลกเริ่มหันมาใช้ “ปฏิทินจูเลียน” แทน “ปฏิทินโรมัน” ที่ล้าสมัย จูเลียสจึงมอบหมายให้นักดาราศาสตร์ชาวกรีก ปรับระบบปฏิทินโดยกำหนดให้ 1 ปีมี 365.25 วัน และเพิ่ม ปีอธิกสุรทิน ทุกๆ 4 ปี โดยให้เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในปีเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้จะใกล้เคียง แต่ยังไม่แม่นยำ 100% เพราะในความเป็นจริง โลกใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 365.2425 วันต่อปี

ทำไมวันที่หายไป 10 วันในปี ค.ศ. 1582?

เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ ความคลาดเคลื่อนเล็กๆ 11 นาทีต่อปี ทำให้เมื่อถึงปี ค.ศ. 1582 วันที่ในปฏิทินเร็วกว่าฤดูกาลจริงไปถึง 10 วัน สมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรีที่ 13 จึงประกาศปรับปรุง ปฏิทินเกรโกเรียน ใหม่ โดยตัดช่วงวันที่ 5–14 ตุลาคม ออกไปทันที! ทำให้ในปี 1582 เดือนตุลาคมมีแค่วันที่ 1–4 และ 15–31 เท่านั้น นี่คือที่มาของ ปฏิทินเกรโกเรียน ที่เราใช้กันจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของโลก

วิธีนับปีอธิกสุรทิน: จูเลียน vs เกรโกเรียน

ปฏิทินจูเลียน: ปีใดก็ตามที่หารด้วย 4 ลงตัว ถือเป็น “ปีอธิกสุรทิน”

ปฏิทินเกรโกเรียน:

ปีที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย 00 หากหารด้วย 4 ลงตัว = ปีอธิกสุรทิน

ปีที่ลงท้ายด้วย 00 ต้องหารด้วย 400 ลงตัวเท่านั้น ถึงจะเป็นปีอธิกสุรทิน

ตัวอย่างเช่น ปี ค.ศ. 2020 ถือเป็นปีอธิกสุรทิน เพราะหารด้วย 4 ลงตัวและไม่ได้ลงท้ายด้วย 00 จึงมีวันที่ 29 กุมภาพันธ์เพิ่มเข้ามา แต่ในทางกลับกัน ปี ค.ศ. 2100 แม้จะหารด้วย 4 ลงตัว แต่เพราะลงท้ายด้วย 00 และหารด้วย 400 ไม่ลงตัว จึงไม่ใช่ปีอธิกสุรทิน และจะมีเพียง 28 วันในเดือนกุมภาพันธ์ตาม ปฏิทินเกรโกเรียน

ปี พ.ศ. 2483 ของไทย หายไปถึง 3 เดือน?!

ไม่ใช่แค่ในยุโรปที่วันเวลาหายไป ประเทศไทยเองก็เคยมี “ปีที่สั้นลง” เช่นกัน โดยเมื่อรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก 1 เมษายน มาเป็น 1 มกราคม เพื่อให้สอดคล้องกับสากล โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 ผลคือ ปี พ.ศ. 2483 มีเพียง 9 เดือน เพราะช่วงเดือนมกราคม–มีนาคม ถูกตัดออกจากปฏิทินไทย ซึ่งผลกระทบก็คือ

วันที่ 31 ธันวาคม 2482 → วันถัดไปคือ 1 เมษายน 2483

วันที่ 31 ธันวาคม 2483 → วันถัดไปคือ 1 มกราคม 2484

รวมแล้วเวลาหายไป 91 วัน หรือ 3 เดือนเต็ม โดยช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2483 ไม่มีอยู่ในปฏิทินไทย การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลให้รูปแบบการนับศักราชเปลี่ยนไปจากเดิมที่เริ่มปีใหม่ในเดือนเมษายน (มีนาคมเป็นเดือนสุดท้ายของปี) มาเป็นแบบสากลที่เริ่มต้นปีในเดือนมกราคมและสิ้นสุดในเดือนธันวาคมอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการนับศักราช

แบบเก่า: เริ่มศักราชในเดือน เมษายน (เดือนที่ 12 คือ มีนาคม)

แบบใหม่ (สากล): เริ่มศักราชในเดือน มกราคม (เดือนที่ 12 คือ ธันวาคม)

ตัวอย่างที่หลายคนอาจสับสน เช่น รัชกาลที่ 5 สวรรคต 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 แต่พระราชพิธีถวายพระเพลิงมีขึ้นในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2453 หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “ถวายพระเพลิงก่อนสวรรคต” แต่ในความเป็นจริงคือการนับศักราชแบบเก่า ที่เริ่มต้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน ทำให้เดือนมีนาคมเป็นเดือนสุดท้ายของปี กล่าวคือ วันที่ 16 มีนาคม 2453 ตามปฏิทินเก่าเกิดขึ้น หลัง วันที่ 23 ตุลาคม 2453 นั่นเอง

สุดท้ายแล้ว การที่วันเวลาหายไปในบางช่วงไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับ แต่เป็นการปรับปรุงเพื่อความแม่นยำในการนับเวลา โดยในปี ค.ศ. 1582 วันที่ 5–14 ตุลาคมหายไป เนื่องจากการเปลี่ยนจากปฏิทินจูเลียนมาเป็นเกรโกเรียน ส่วนในปี พ.ศ. 2483 ก็มีการตัดช่วงเวลาถึง 3 เดือนออกจากปฏิทิน เพราะมีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก 1 เมษายนมาเป็น 1 มกราคม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของมนุษยชาติในการปรับระบบการนับเวลาให้ตรงกับความเป็นจริงของโลกมากที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องของวันที่หายไป แต่เป็นการจัดระเบียบเวลาใหม่เพื่อให้ทุกอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น