Home ข่าววันนี้ น้องสาว อ้าง พี่สาว หวังฮุบมรดก เอาพ่อแม่ไปขังบ้านเช่า ให้กินยาจิตเวช

น้องสาว อ้าง พี่สาว หวังฮุบมรดก เอาพ่อแม่ไปขังบ้านเช่า ให้กินยาจิตเวช

58

น้องสาว อ้าง พี่สาว เอาพ่อแม่ไปขังบ้านเช่า 3 เดือน ให้กินยาจิตเวชทั้งที่หมอไม่ได้สั่ง หวังฮุบมรดก 30 ล้าน พาตร.บุกช่วย คู่กรณีโต้ เปิดปมพากลับบ้านไม่ได้

วันที่ 5 ก.พ.2568 นางกุลิสรา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง โดยกล่าวหาว่า นางกีรติ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี พี่สาว ว่าเอาพ่อแม่ไปกักขังไว้ในบ้านเช่านานกว่า 3 เดือน โดยไม่บอกให้ตนเองทราบ พร้อมทั้งไม่บอกญาติให้รู้ว่าไปอยู่ที่ ไหน

จนกระทั่งตนเองกลับมาจากต่างประเทศและได้สืบทราบว่าพี่สาวนำพ่อและแม่ไปขังไว้บริเวณอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในตัวเมืองของจ.พัทลุง จึงเข้าแจ้งตำรวจขอความช่วยเหลือพ่อแม่ให้ตนเองกลับมาเลี้ยงดู เนื่องจากแม่ป่วยติดเตียง พ่อกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกรงจะไม่ปลอดภัย

น้องสาว อ้าง พี่สาว เอาพ่อแม่ไปขังบ้านเช่า 3 เดือน ให้กินยาจิตเวชทั้งที่หมอไม่ได้สั่ง หวังฮุบมรดก 30 ล้าน พาตร.บุกช่วย คู่กรณีโต้ เปิดปมพากลับบ้านไม่ได้

น้องสาว อ้าง พี่สาว เอาพ่อแม่ไปขังบ้านเช่า 3 เดือน ให้กินยาจิตเวชทั้งที่หมอไม่ได้สั่ง หวังฮุบมรดก 30 ล้าน พาตร.บุกช่วย คู่กรณีโต้ เปิดปมพากลับบ้านไม่ได้

นางกุลิสรา กล่าวว่า คือเรื่องในครอบครัว พี่สาวเอาพ่อกับแม่ไปไว้บ้านเช่า โดยไม่ได้แจ้งให้น้องทราบ เพราะมีปัญหาเรื่องมรดกกัน ตนเคยไปแจ้งความพี่สาวไว้แล้วด้วย เนื่องจากให้แม่กินยาจิตเวชโดยที่หมอไม่ได้สั่ง

พอตนกลับไปต่างประเทศ พี่สาวก็มาแย่งตัวพ่อแม่อออกไปจากบ้านเลย พร้อมทั้งไปค้นโฉนดที่ดินและจะให้พ่อโอนที่ดินให้เขาตอนนั้น แต่พ่อไม่โอนให้เนื่องจากที่ดินที่พี่สาวจะเอานั้น พ่อได้โอนให้ตนไปแล้วก่อนหน้านั้น โดยที่ดินมรดกก็แบ่งโอนกับพี่สาวเท่า ๆ กัน

แต่มีอีกแปลงที่เป็นชื่อของตน เนื้อที่ 7 ไร่ มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท พี่สาวจะเอาที่ดินแปลงนั้นแบ่งกับตนเอง แต่ตนไม่ยอม เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่พ่อแม่แบ่งให้ไป บางส่วนพี่สาวได้ขายไปแล้ว ตนจึงไม่ยอมให้แบ่งอีก ทำให้เกิดเรื่องหมางใจกันมาตลอด

นางกุลิสรา อ้างต่อว่า โดยช่วงที่ตนเดินทางไปต่างกลับไปต่างประเทศสิ้นเดือนก.ย.2567 ตนได้จ้างญาติให้มาดูแลแม่กับพ่อที่บ้าน แต่พี่สาวกลับพาพ่อกับแม่ไปอยู่ที่บ้านเขาได้ประมาณ 1 เดือน สามีพี่สาวไม่ให้พ่อกับแม่อยู่ที่บ้าน บอกว่าเหม็นคนพิการ แทนที่จะนำกลับมาไว้ที่บ้านกลับนำไปไว้บ้านเช่าขังไว้ในห้อง ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

นางกุลิสรา อ้างอีกว่า ซึ่งแม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ผลจากการที่พี่สาวให้กินยาจิตเวชในเวลาเกือบ 2 ปี ตอนนั้นตนไม่ได้กลับมาไทย โดยกลับมาล่าสุดเดือนมิ.ย.2567 กลับไปต่างประเทศสิ้นเดือนก.ย.2567 โดยตอนที่ไปอยู่ต่างประเทศพ่อกับแม่อยู่ที่บ้าน ตนได้จ้างให้หลานเป็นดูแล

แต่ถูกพี่สาวนำพ่อแม่ออกไปไว้ที่บ้านเขาก่อนนำตัวไปกักขังไว้ที่บ้านเช่า จนแจ้งขอความช่วยเหลือจากตำรวจดังกล่าว เพราเกรงว่าหากนานกว่านี้พ่อกับแม่คงไม่รอด เพราะหลายครั้งก่อนหน้านี้ตนเองพยายามดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่บ้านพ่อแม่พบพี่สาวชอบดุด่าพ่อกับแม่ และพยายามพิมพ์ลายนิ้วมือพ่อหลายครั้ง แต่พ่อไม่ยอมพิมพ์

ก่อนตามจนเจอว่าพี่สาวได้นำพ่อกับแม่มาไว้ที่อพาร์ตเมนต์ดังกล่าว เมื่อไปถึงประตูห้องได้ปิดไว้ แจ้งเจ้าของอพาร์ตเมนต์ว่ามาตามหาพ่อกับแม่ แต่คนดูแลไม่เปิดประตูให้ ก่อนคนดูแลโทรหาพี่สาวให้มา แต่ประตูห้องที่พ่อแม่อยู่เปิดไม่ได้พูดคุยนานเกือบชั่วโมง ก่อนใช้ค้นทุบประตู เพื่อเข้าไปดูพ่อกับแม่ที่หน้าตาอิดโรย

นางกุลิสรา กล่าวอ้างด้วยว่า ก่อนหน้านี้ พ่อยังเดินได้ตามปกติ แม่ป่วยติดเตียง แต่พ่อมาอยู่นี่ 3 เดือนกลับเดินไม่ได้ ก่อนนำตัวพ่อและแม่ส่งโรงพยาบาลพัทลุง เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือ ตรวจร่างกาย ว่ามีการใช้สารพิษอะไรให้พ่อแม่กินบ้าง เนื่องจากร่างกายอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด หากพบว่า พ่อแม่มีการวางพิษทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ก็จะแจ้งความดำเนินคดีกับพี่สาวต่อไป

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ติดตามทำข่าวตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าช่วยเหลือ พี่สาวพยามต่อว่าผู้สื่อข่าวใครใช้ให้ถ่ายคลิปขอให้ลบเสียไม่งั้นจะแจ้งความดำเนินคดีกับทุกคนที่ถ่าย ต่อมาหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้นำตัวพ่อกับแม่ส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ

ด้าน นางกีรติ กล่าวว่า เรื่องที่น้องสาวกล่าวอ้างไม่เป็นความจริง ตนไปดูพ่อแม่วันที่น้องสาวไปต่างประเทศไม่เห็นพี่เลี้ยง เลยเอาพ่อแม่มาเลี้ยงที่บ้านโดยจ้างพี่เลี้ยง แต่บ้านแคบไม่มีห้องให้พี่เลี้ยงพัก เลยมานมาเช่าอพาร์ตเมนต์ดังกล่าว พี่เลี้ยงก็ดูแลพ่อแม่ดี ตนก็ไปรับยามาจากโรงพยาบาลพยาบาลให้พ่อแม่กินตลอด คนเป็นลูกไม่ได้คิดทำร้ายพ่อแม่หวังฮุบมรกด ตามที่น้องสาวกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวถามทำไมไม่ให้พ่อแม่กลับไปอยู่บ้านตามเดิม พี่สาว ลก่าวว่า กลับไปไม่ได้ เนื่องจากน้องสาวได้แจ้งความตน ไม่ให้เข้าบ้านหลังดังกล่าว หลังจากที่มีปัญหากัน