เป็นศิลปินลูกทุ่งที่คร่ำหวอดในวงการเพลงมานานเกือบ 30 ปีแล้ว สำหรับ พรภิรมย์ พินทะปะกัง หรือ ไมค์ ภิรมย์พร เจ้าของเพลงลูกทุ่งดัง อาทิ ยาใจคนจน, เหนื่อยไหมคนดี, แค่แขกรับเชิญ, นักสู้ ม.3, กลับคำสาหล่า, บุญผลา ฯลฯ ซึ่งในวันวานของหนุ่มคนนี้เป็นที่รู้กันดีว่าไม่ได้สบาย เพราะที่บ้านมีฐานะยากจน เรียนหนังสือมาน้อย ต้องดิ้นรนทำแทบทุกอาชีพเพื่อความอยู่รอด
แต่เพราะความพยายามที่จะเป็นนักร้องตามความฝัน ต้องแทรกหาโอกาสเอง จนสุดท้ายกลายเป็นศิลปินดังมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะกลายเป็นศิลปินดัง แต่เขายังเป็นนักร้องติดดิน ไม่เคยลืมว่าตัวเองมาจากไหน บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนเขามาพูดคุยทั้งบทบาทการเป็นนักร้อง รวมถึงการเป็นนักธุรกิจขายน้ำปลาร้า การเป็นเกษตรกรทำสวนที่ จ.อุดรธานี รวมไปถึงความภาคภูมิใจที่สามารถดูแลครอบครัว สามารถส่งลูกสาวทั้ง 3 คน เมย์วดี, พรพิมล, และกาญจนา พินทะปะกัง เรียนต่อในต่างประเทศ และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าชีวิตของไมค์ ภิรมย์พร ในวันวานไม่ได้สบายนัก เพราะมีฐานะยากจน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่มีวันนี้ได้เพราะไม่เคยคิดยอมแพ้ต่อโชคชะตา “ก่อนที่จะมาเป็นนักร้อง พี่ก็ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ พี่ก็ลำบาก ทำงานหลากหลายอาชีพมา มีท้อบ้างครับ แต่ถ้าท้อแล้วมัวแต่คิดตัดพ้อกับโชคชะตาวาสนาอยู่ ไม่ลุกขึ้นสู้ ไม่สร้างกำลังใจให้ตัวเอง มันก็คงไม่ได้มาถึงวันนี้ ทุกคนสามารถชนะอุปสรรคได้ถ้าเราไม่ยอมแพ้ ถ้าเราอยากไปถึงฝันของเรา ทุกคนมีโอกาสหมด แต่สำคัญต้องขยัน อดทน เข้าใจการดำรงชีวิต”
จากนั้นเจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงชีวิตวันวานไว้ว่า “พี่ทำทุกอย่างเลย พ่อแม่ทำอะไรก็ทำตามพ่อแม่ พ่อแม่เป็นคนสอนทำไร่ทำนา เผาถ่าน ขายไม้กวาด คือวิถีของคนอีสาน หน้าฝนทำไร่ทำนา หมดหน้าฝนจะมีทำงานอย่างอื่น บางทีรับจ้างไปตัดอ้อยบ้าง ขุดมันบ้าง เป็นวิถี คือมันไม่มีอาชีพที่แน่นอน มีงานอะไรก็ต้องทำ เพราะทุกอย่างคือเรื่องการดำรงชีวิต
พี่ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนประถมร้องเพลงตั้งแต่หน้าชั้นเรียน จำได้ว่าเรียนชั้นประถมปีที่ 1-2 ก็ร้องเพลงในห้องเรียนให้ฟัง ร้องมาตั้งแต่ 5-6 ขวบ ศิลปินที่ชอบ ตั้งแต่จำความได้สมัยเด็กๆ ก็ชอบยุคครูสุรพล สมบัติเจริญ จนกระทั่งยุคสมัยใหม่ก็มีพี่เป้า สายัณห์ สัญญา พี่แอ๊ว ยอดรัก สลักใจ พี่พรศักดิ์ ส่องแสง ล้วนแล้วเป็นไอดอลของเราทั้งหมด เรื่องร้องเพลงฝึกด้วยตัวเอง ไม่มีใครสอน ร้องตอนทำไร่ทำนากับพ่อแม่นั่นแหละ ทำงานไปก็ตะโกนร้องตามป่าเขาทุ่งนา”
จนกระทั่งเมื่ออายุ 21 ปี ไมค์มาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ อย่างจริงจัง ช่วงนั้นทำสารพัดอาชีพ “พี่ทำทุกอย่าง เป็นกรรมกรก่อสร้าง เด็กเสิร์ฟ เด็กรับรถ ล้างห้องน้ำ ยาม ทำมาหมดแล้ว ขายลาบส้มตำ ชีวิตมันต้องสู้ มีช่วงที่ไปทำงานเสิร์ฟและรู้จักนักดนตรีที่ผับ เขาก็ชวนไปร่วมงานกับวงคุณใหม่ เจริญปุระ พี่ก็ไปเป็นเด็กคอนวอยขนเครื่อง ทำทุกอย่าง ที่พี่มากรุงเทพฯ พี่อยากมาหาฝันตัวเอง อยากเข้าสู่วงการเพราะอยากจะเป็นนักร้อง แต่ยุคนั้นเราก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ต้องแทรกหาโอกาสเอง”
จุดเปลี่ยนชีวิต
และแล้วโอกาสการเป็นนักร้องก็มาถึงตัวไมค์จนได้ ซึ่งเจ้าตัวเล่าถึงที่มาที่ไปของการเป็นนักร้องดังเช่นทุกวันนี้ว่า “จนกระทั่งมีโอกาสรู้จักครูเพลง เขาก็พาไปเทสต์เสียงมาทำเดโม พอได้ทำเดโมแล้วมีวันนึงที่แกรมมี่ประกาศว่าจะทำเพลงลูกทุ่ง จะทำค่ายเพลงลูกทุ่ง ก็มีพี่ๆ เอาเดโมไปเสนอ ช่วงนั้นพี่ก็ยังขายลาบขายส้มตำ พอเสนอเสร็จแล้วเราก็รอคิวว่าเมื่อไรเขาจะเรียก
บังเอิญว่าอยู่มาวันนึงโชคดีว่าคนที่เขาพาเราเอาเทปไปเสนอให้กับบริษัทแกรมมี่เขาจะพานักร้องจากจังหวัดขอนแก่นมาเทสต์เสียง เพราะเขาส่งเดโมมาก่อนหน้านี้ แล้ววันนี้พี่จรัญซึ่งรู้จักกัน กับอาจารย์สมปอง ก็บอกว่าวันนี้จะมีการสกรีนเทสต์นักร้อง ก็เลยชวนพี่ไปดูว่าถ้าวันนึงเขาเรียกเราไปสกรีนเทสต์ มาดูขั้นตอนการทำว่าทำยังไง จะได้วางตัวถูก ก็เลยเข้าไปดู
ปรากฏว่าวันนั้นนักร้องผู้หญิงเขาแต่งตัวช้า เขาก็เลยจับพี่ไปสกรีนเทสต์คั่นเวลา พอพี่สกรีนเทสต์เสร็จ 2 เพลง นักร้องผู้หญิงก็สกรีนเทสต์ต่อ พี่ก็กลับบ้านแล้วไปขายลาบส้มตำปกติ ประมาณสักอาทิตย์กว่าๆ ทางพี่จรัญก็โทรตามว่ามีผู้ใหญ่แกรมมี่เรียก พี่ก็เข้าไป แล้วเขาก็ถามว่าเป็นยังไง เป็นคนที่ไหน เรียนร้องเพลงมามั้ย พี่ก็บอกว่าไม่ได้เรียน ฝึกตามทุ่งไร่ทุ่งนา ฟังตามทรานซิสเตอร์
เขาก็บอกว่าที่เรียกมาวันนี้คือทางผู้ใหญ่คือพี่เต๋อ (เรวัติ พุทธินันทน์) เป็นคนเลือกเทปพี่ จะให้มาคัดเลือกเป็นนักร้องลูกทุ่งของค่ายแกรมมี่คนแรก ก็เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต เราได้เดินตามฝันมาตั้งแต่วันนั้น ก็ถือว่าฝันประสบความสำเร็จ มาเป็นนักร้องลูกทุ่งคนแรก แต่ออกอัลบั้มตั้งแต่ชุดแรกจนถึงชุดที่ 4 ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ตอนนั้นเขาก็ยังไม่ได้ทำเพลงลูกทุ่ง ลองผิดลองถูก จนกระทั่งมาชุดที่ 5 “ยาใจคนจน” ประสบผลสำเร็จ เราถึงได้มีวันนี้”
ช่วงที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ถามว่าถอดใจมั้ย ไมค์บอกว่า “เรามองแง่บวกตลอด ให้กำลังใจตัวเองว่า วันนี้เราคิดว่าอะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ ทุกโอกาส ทุกความฝันของคน คงไม่ได้ประสบความสำเร็จภายในวันเดียวหรือปีเดียว คิดว่าโชคชะตายังมาไม่ถึงก็ต้องอดทนกันต่อไป สู้ต่อไป หวังแต่ว่าวันหนึ่งโชคชะตาน่าจะเป็นของเรา ก็คิดไว้ตลอดเวลา ไม่เคยท้อ ถึงแม้ว่าครั้งแรกของการออกอัลบั้มยังไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่เป็นไร ต้องมีวันของเรา เราต้องให้กำลังใจตัวเอง”
ดังแค่ไหนก็ยังติดดิน
ในวันที่ชื่อเสียงเข้ามาหลังจากประสบความสำเร็จจากอัลบั้มชุดที่ 5 ไมค์ยอมรับว่าชีวิตเปลี่ยน แน่นอนว่ามีสื่อต่างๆ รายการต่างๆ ติดต่อมาให้สัมภาษณ์ทั้งทีวี วิทยุ และเดินสายทั่วประเทศ มีงานมีคอนเสิร์ตเข้ามา เป็นอะไรที่ทำให้ตัวเองมีความปลื้มและดีใจอย่างสุดซึ้ง เพราะถือว่าความฝันของเรามาถึงจุดนี้แล้ว สมกับการที่เราทนลำบาก ต่อสู้มาเพื่อมีวันนี้ บอกกับพ่อแม่ว่าต้องมีอะไรสักอย่างกลับไปให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ เพราะพ่อแม่เรายากจน อยากดูแลท่านในวัยชรา เราเป็นลูกคนโต เราต้องประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราฝันและตั้งใจไว้ ทำให้พ่อแม่ชื่นใจและยินดีกับเรา
จนถึงทุกวันนี้ ไมค์ยังคงเป็นนักร้องขวัญใจมหาชนไทย แต่ก็ยังคงความเป็นคนติดดิน ไมค์บอกว่ามันอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่เกิด “ตอนที่เรามีอาชีพ เรามีงาน เรามีทัวร์คอนเสิร์ต มีทุกสิ่งทุกอย่าง เวลามันเดินทางมายาวไกลมาก อายุก็เป็นส่วนหนึ่งของเราด้วย ถามว่าเราอยู่วงการมาเยอะ น่าจะเกือบ 30 ปีแล้ว เราคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เรามีความสุข มันสอนให้เราในการใช้ชีวิต
อย่างที่บอกคือเรายังคิดว่าเรื่องการร้องเพลงอยู่ในสายเลือด แต่วันนี้เรามีบทบาทหลายอย่าง ทั้งบทบาทสำคัญที่เราตั้งใจมาตั้งแต่เด็ก บทบาทการทำเกษตร ทำสวน บทบาทการร้องเพลง แน่นอนว่าเป็นการเดินทางยาวไกล แต่ถามว่าเราอยากจะลงมามั้ย จริงๆ แล้วพี่เคยบอกกับตัวเองว่าอยากจะเกษียณ เพราะเราอายุมากแล้ว อยากมาใช้ชีวิตอยู่กับท้องไร่ท้องนา บ้านเกิดเมืองนอน ทำสวน ส่วนหนึ่งเรามีธุรกิจที่ทำให้เราอยู่ได้ และได้ดูแลครอบครัว ดูแลลูก
พี่คิดว่าเราเองยังยึดเรื่องของสิ่งเหล่านี้อยู่ แต่ถามว่ายังรักการร้องเพลงอยู่มั้ยก็ยังรัก เพียงแต่ว่าด้วยอายุเราก็ต้องตัดใจ เข้าใจถึงสัจธรรมในบทบาทการเป็นนักร้องว่ามันต้องน้อยลงเพื่อมารับบทบาทใหม่ๆ ในเรื่องการทำธุรกิจ บทบาทการทำอาชีพเกษตรกร แต่เราก็ยังมีคอนเทนต์อย่างอื่นแฟนเพลงบางคนก็ยังไม่อยากให้หยุดร้อง แต่เราก็มีกิจกรรมอย่างอื่น มีทำสวน มีถ่ายคลิปลงช่อง สามารถชดเชยในความคิดถึง ห่วงใยซึ่งกันและกันกับญาติเพลงที่เราสนิทแฟนเพลงที่ติดตามเรามาตลอด เขาจะได้เห็นว่าถึงเราไม่ได้ร้องเพลง แต่เรายังอยู่ตรงนี้ หรือบางทีอาจจะมีกิจกรรมบรรยากาศร้องเพลงในสวน มันก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าเราเองอาจจะไม่ได้ออกคอนเสิร์ตเหมือนที่ผ่านมาในตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่นอยู่ในวงการบันเทิง แต่บทบาทเราอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าจะหายไปเลยครับ”
หลายคนก็ชื่นชมในความเป็นคนติดดิน ไม่ลืมว่าตัวเองมาจากตรงไหน ถามว่ารู้สึกยังไง ไมค์บอกว่า “สิ่งนี้มันอยู่ที่ตัวเราแหละ จิตสำนึกมันบอกตัวเราเองอยู่แล้ว ถ้าเราคิดว่าเรามีจุดยืนของชีวิตเรา คิดว่าเริ่มต้นเรารู้ว่าวิถี ประเพณีที่เราคุ้นเคย มีความเคยชิน ทำกันมากับพ่อแม่ ถ้าเราคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันสามารถที่จะอยู่ในตัวเรา เราสามารถที่จะต่อยอดได้ ค่อยๆ ทำ ทำตามกำลังที่เราทำได้ ดูแลได้ บางทีการทำตรงนี้กว่าจะสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย การเกษตรมันต้องใจรัก ต้องค่อยๆ เริ่มต้นลงมือเรียนรู้ พี่ก็ถามนักวิชาการ ถามคนที่เป็นกูรูบ้าง แล้วเอามาพัฒนาเพื่อทำสวนเกษตรที่เรามีใจรักให้มันประสบความสำเร็จ กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่แค่ปี 2 ปี ต้องใช้เวลาครับ”
ธุรกิจสะท้อนตัวตน
ไมค์เล่าถึงที่มาของการธุรกิจน้ำปลาร้า ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัวมานานเกือบ 20 ปีว่า จุดประกายคือเริ่มคิดมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำเพลงเป็นนักร้อง เพราะเคยขายลาบ ขายส้มตำในกรุงเทพฯ มาก่อน ก็เลยมีแรงบันดาลใจที่จะสร้างภูมิปัญญามาให้คนในสังคมเมืองยอมรับ “คำว่าปลาร้าทุกคนอาจจะมองว่าไม่สะอาด ไม่กล้ารับประทาน แต่เราปรุงรส ทำให้สุกสะอาด ถูกหลักอนามัย ยังไงคนก็ต้องยอมรับ เพราะคนไทยชอบกินส้มตำอยู่แล้ว พอเราเริ่มคิดเริ่มทำ เรามีความตั้งใจหลายอย่าง ก็เป็นที่มาของธุรกิจครับ”
ช่วงแรกที่ทำใหม่ๆ ไมค์ยอมรับมีอุปสรรคบ้าง การจะทำให้คนยอมรับเป็นสิ่งที่ยากมาก ที่ทำไปเป็นการลองผิดลองถูก เททิ้งบ่อย กว่าจะทำได้ใช้เวลาหลายปีกว่าทุกอย่างจะลงตัว มี Food Scientists (นักวิทยาศาสตร์อาหาร) มาดูแลเป็นที่ปรึกษา มีนักวิชาการมาช่วยคิดค้นที่จะทำให้เก็บได้นานๆ และราคาถูก ถูกหลักอนามัย ปลาร้าสามารถทำอาหารได้หลายอย่าง ประยุกต์ทำได้หมด แม้แต่นำไปใส่สปาเกตตียังได้ พยายามนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้ชาวต่างชาติได้เห็นว่าปลาร้าสามารถปรับเข้ากับเมนูอาหารฝรั่งได้ ทำให้คนต่างชาติได้ซึมซับไป มีความตั้งใจที่จะพัฒนาต่อเนื่อง
อีกหนึ่งความชื่นชอบที่ยังคงทำถึงทุกวันนี้ คือการทำสวน ไมค์เล่าให้ฟังถึงการทำสวนที่ จ.อุดรธานี ไว้ว่า “ตอนนี้กำลังปลูกทุเรียน จริงๆ แล้วเราคิดว่าเราได้คนที่รู้จักมาแนะนำเรื่องการปลูกทุเรียน ก็ค่อยๆ ทำแต่ทำไม่เยอะ ทำประมาณ 100 กว่าต้น และมีมะม่วงน้ำดอกไม้ อยากให้สวนเรามีผลหมากรากไม้เข้ามา สามารถออกดอกออกผล มีผลผลิต อย่างน้อยเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบบ้านๆ มีทั้งผักปลอดสารไว้ประกอบอาหารเอง แต่ถามว่าถ้าประสบความสำเร็จเรื่องปลูกทุเรียน เรามีความตั้งใจ มีแรงบันดาลใจจากคนที่ทำสำเร็จ เราก็ค่อยเรียนรู้ไป สิ่งไหนที่เราไม่เข้าใจ เราก็ถามคนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะมีคนมาสอน เราก็ต้องวางระบบการดูแล และมีระบบน้ำที่ชัดเจน ซึ่งสำคัญที่สุด”ถามว่าชอบการทำสวนตั้งแต่เมื่อไร ไมค์บอกว่า “การทำสวนมันอยู่ในสายเลือดครับ บอกตรงๆ ว่ามันซึมซับมาจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็กแล้ว พอเรามีโอกาส มีเวลา มีที่ดินของตัวเอง ก็อยากจะพัฒนา อยากทำต่อเนื่องไป เพราะว่ามันสามารถนำมาสร้างประโยชน์จากพื้นที่ที่เราทำอยู่เป็นสวนผักสวนผลไม้ได้ มันก็ได้อยู่ได้กิน ทำมา 10 กว่าปีแล้วครับ ต้นมะพร้าวบางส่วนก็ออกลูกออกผล มะม่วงเก็บผลผลิตได้ มะนาวก็เยอะ เก็บผลผลิตมาเยอะแล้ว ตอนที่เริ่มปลูกแรกๆ ก็คือมะนาว มะพร้าว มะม่วงน้ำดอกไม้นี่แหละครับ เป็นพืชสวนผสมทั้งพืชผักสวนครัวด้วยครับ ที่ปลูกก็คือเอาไว้ทานเอง ปลูกไว้เพื่ออยากให้รู้ว่าเรามีสวนผักอยู่ในบ้านเราไว้กินเอง เราไม่ได้มุ่งเน้นว่าทำจริงจังเพื่อประกอบการขาย เอาไว้เผื่อแผ่ลูกหลานญาติพี่น้องเวลามาครับ
การทำสวนเหมือนได้เติมเต็มชีวิตวัยเด็กครับ พี่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ทำไร่ทำนา ทำทุกอย่างแหละ งานรับจ้างตัดอ้อย ขุดมัน มันเป็นวิถีของการทำเกษตรอยู่แล้ว เราเองก็มีความคุ้นเคยอยู่แล้ว เราพอมีโอกาส เรามีกำลัง มีศักยภาพที่จะทำ ก็คิดว่าเราสามารถมาทำได้ อย่างที่บอกว่าค่อยๆ เรียนรู้ไปครับ มันก็มีล้มเหลวบ้าง แต่เราจะสู้ต่อหรือเปล่า ถ้าใจเรารัก เราก็ต้องสู้ต่อ”
ไมค์บอกว่าการทำสวนก็มีอุปสรรคบ้าง แม้พื้นที่อีสานน้ำท่วม แต่ก็ไม่ได้ท่วมนาน ผลผลิตการเกษตรไม่ได้เสียหายเยอะเพราะว่าไม่ได้ทำเยอะ ทำแค่พอกิน แม้จะเสียหายบางส่วนก็สามารถปลูกชดเชยแทนได้ โดยไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย “อย่างทำนาข้าว ช่วงที่น้ำท่วมก็มี แต่ข้าวทนกับน้ำท่วมเป็นอาทิตย์ มันก็อยู่ได้ พอน้ำลดลง ยอดข้าวโผล่ก็รอดแล้ว อย่างต้นมะม่วงก็ทนน้ำอยู่ เราก็หาปลูกพืนที่ทนต่อแล้ง ทนต่อน้ำ ในพื้นที่เรา ก็ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ไป ลองผิดลองถูกไป ผิดก็ถือว่าเป็นครูครับ ก็ทำตามกำลังที่เราดูแลได้”