วันที่ 11 สิงหาคม 2568 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดแตะระดับ 31.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าแข็งค่าขึ้นจากระดับ 31.70 บาท และมีแนวโน้มจะไปถึง 31.50 บาทในเร็วๆ นี้ โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ดังกล่าว และติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
นายเกรียงไกร ระบุว่า ค่าเงินบาทในขณะนี้แข็งเกินความเป็นจริงเมื่อเทียบกับสภาพเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทั้งกำลังซื้อในประเทศที่ยังอ่อนแอ และภาคเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังชะลอตัว ซึ่งตามปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ค่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าลงมากกว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญคือการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 7% ตั้งแต่ต้นปี และถือเป็นอันดับ 2 รองจากไต้หวัน
สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออกของไทย ซึ่งนอกจากจะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 19% แล้ว ยังต้องรับแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังก็ได้รับผลกระทบ เพราะเงินบาทที่แข็งค่าอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากตลาดใกล้เคียง เลือกไปเที่ยวประเทศอื่นแทน เช่น เวียดนาม หรือญี่ปุ่น
นายเกรียงไกร ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ กกร. พบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติบางประการเกี่ยวกับการส่งออกทองคำ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังกัมพูชา ซึ่งกลายเป็นสินค้าหลักในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ แม้กัมพูชาจะเป็นประเทศขนาดเล็กแต่มีตัวเลขการนำเข้าทองคำจากไทยสูงมากผิดปกติ
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า การส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาอาจมีทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ กกร. กำลังเร่งตรวจสอบร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายหรือกิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของปัญหาสแกมเมอร์ที่มีอยู่ในกัมพูชา
ตัวเลขการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาขณะนี้อยู่ในระดับหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงผิดปกติจากที่เคยเป็นมา และอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินจริง แม้เศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพิ่งประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ก็ควรทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่กลับเป็นตรงกันข้าม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติในระบบที่ต้องได้รับการตรวจสอบและแก้ไขอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ กกร. จะเร่งหารือกับภาครัฐเพื่อหาข้อสรุป และวางมาตรการรับมือในระยะต่อไป