Home ท้องถิ่น “บิ๊กเต่า” ขอพลีชีพ ลุยแฉวงการตำรวจ รู้หมดใครเทา ใครดำ

“บิ๊กเต่า” ขอพลีชีพ ลุยแฉวงการตำรวจ รู้หมดใครเทา ใครดำ

47

วันนี้ 28 ส.ค. 2568 เวลา 13.40 น. ที่รัฐสภา พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ บิ๊กเต่า เข้าร้องขอความเป็นธรรมในการพิจารณาแต่งตั้ง เลื่อนและโยกย้ายตำแหน่ง ต่อนางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร

บิ๊กเต่า ขอพลีชีพ ลุยแฉวงการตำรวจ รู้หมดใครเทา ใครดำ

บิ๊กเต่า ขอพลีชีพ ลุยแฉวงการตำรวจ รู้หมดใครเทา ใครดำ

พล.ต.ต. จรูญเกียรติ เปิดเผยว่า ตนเองมาในฐานะผู้ร้องขอความเป็นธรรมกับคณะกรรมาธิการตำรวจ ความจริงได้ร้องไปยังนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีแล้ว

การร้องต่อสภาฯ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการตำรวจให้ไปในแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรม การมาวันนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความแตกแยกในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เห็นว่าตนเป็นตัวแทนของผู้ที่ถูกริดรอนอีกหลายคน ไม่ได้ร้องเพื่อตนเอง แต่ร้องให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทบทวน ยึดวิธีคิดและแนวปฏิบัติ

ในช่วงก่อนมี พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 เกิดความเหลื่อมล้ำในการพิจารณา แต่เมื่อมี พ.ร.บ.ตำรวจฯ แล้ว ต้องกลับเข้ามาสู่หมวดของการดำเนินการตามกฎหมาย โดย พ.ร.บ. ฉบับนี้จะยกระดับมาตรฐานการพิจารณาในหลายด้าน เพื่อความเป็นธรรมกับคนทำงานโดยตรง เมื่อก่อนใช้ระบบอุปถัมภ์ แต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีเจตนารมณ์ในการแบ่งส่วนผู้ที่มีคุณสมบัติอาวุโสไว้ 50% ส่วนอีก 50% ให้คำนึงถึงความอาวุโสและความสามารถ เพื่อให้คนทำงานได้รับขวัญและกำลังใจ และเกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การที่มีกฎเกณฑ์แล้ว หากไม่ปฏิบัติหรือเลือกปฏิบัติ ผลสัมฤทธิ์ก็บ่งบอกถึงการใช้ดุลยพินิจที่อาจเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย

บิ๊กเต่า ขอพลีชีพ ลุยแฉวงการตำรวจ รู้หมดใครเทา ใครดำ

ตนเองในฐานะที่ดูแลงานทุจริต เคยเป็นอดีตผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ดูแลต่อเนื่อง มองว่าการกระทำที่เกิดขึ้นหมิ่นเหม่ต่อข้อกฎหมาย และรู้ว่าผลลัพธ์เกิดขึ้นใกล้ตัวกับผู้มีอำนาจแต่ไม่มีผลปฏิบัติจริง

บิ๊กเต่า ขอพลีชีพ ลุยแฉวงการตำรวจ รู้หมดใครเทา ใครดำ

“เรารู้เห็นเพราะเราทำงานด้วยกันมา เรารู้ว่าใครเป็นอย่างไร ใครขาว ใครเทา ใครดำ สิ่งหนึ่งที่สภาฯ และคณะกรรมาธิการจะทำได้คือ การให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ทุกภาคส่วนด้วยความเสมอภาค”

พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายคือ ต้องการเห็นตำรวจตั้งใจทำงานให้ประชาชน ได้รับความยุติธรรม และสิ่งที่ผู้บังคับบัญชามอบให้ หากกลับไปใช้ระบบอุปถัมภ์แม้ พ.ร.บ. มีผลบังคับใช้แล้ว จะนำมาซึ่งความเสื่อม เพราะทุกคนเห็นแล้วว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ต้องบังคับใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่การชะลอคำสั่งและไม่ใช้ผลปฏิบัติงาน จะทำให้ตำรวจเสียขวัญกำลังใจ อยู่กันแบบเช้าชามเย็นชาม

บิ๊กเต่า ขอพลีชีพ ลุยแฉวงการตำรวจ รู้หมดใครเทา ใครดำ

ที่ผ่านมา มีเพื่อนพี่น้องหลายคนเข้ามาพบตนเองแล้วบอกว่า หลายคนมีฝีมือแต่ไม่ได้รับการแต่งตั้ง น้อง ๆ ที่กำลังจะโตขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นดาวรุ่ง จะทำไปทำไม หากไม่พิจารณาความรู้ความสามารถ ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนก็จะไม่ได้รับ ตามหลักการความเป็นธรรมต้องมาจากข้างบนสู่ข้างล่าง

ตนเองจึงอยากแก้ไขในองค์กรของตนเอง ไม่ได้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นตัวแทนพี่ ๆ น้อง ๆ หลายคน เพื่อสะท้อนไปถึง ก.ตร. ให้วิเคราะห์พิจารณาอย่างเป็นธรรม ไม่ได้หวังสร้างความเสียหายหรือป่วน ย้ำว่า ขอแค่ให้ ก.ตร. ให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน

พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า อยากให้คณะกรรมาธิการผลักดัน พ.ร.บ.ตำรวจฯ เป็นเครื่องการันตีให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศได้รับสิทธิ์ และขวัญกำลังใจในการทำงาน แข่งกันทำงาน แข่งกันทำความดีกับพี่น้องประชาชน ใครที่เทา ๆ ดำ ๆ จะต้องพิจารณา

นางสาวสุณัฐชา กล่าวว่า “บิ๊กเต่าคนดัง” ตนติดตามการทำงานของท่านมานาน เพิ่งเจอตัวจริงวันนี้ เรื่องนี้มีหนังสือร้องเรียนมายังคณะกรรมาธิการบ่อยครั้ง เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการตำรวจที่จะติดตามปัญหาและหยิบยกประเด็นมาพิจารณาโดยใช้กลไกของสภาฯ เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปองค์กรตำรวจให้เกิดความชอบธรรม

เมื่อเช้านี้ คณะกรรมาธิการตำรวจมีประชุมแล้ว มีมติจะนำกรณีนี้เข้าสู่การพิจารณานัดถัดไป และให้คณะกรรมการออกหนังสือเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและผู้เกี่ยวข้องทุกคนเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการในวันที่ 4 ก.ย. 68 เชื่อว่าจะทำให้เรื่องกระจ่างชัดขึ้น

ทุกคนอยากเห็นการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ตำรวจฯ ที่ผ่านสภาฯ เมื่อปี 65 กฎหมายฉบับนี้มีเจตนาให้ความเป็นธรรมแก่ข้าราชการตำรวจทุกนาย โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่ง เชื่อว่าหากปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จะเป็นขวัญและกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจทุกนาย

“องค์กรตำรวจถือเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หากองค์กรตำรวจมีความเป็นธรรม สังคมก็จะมีความเป็นธรรม ตำรวจก็จะเป็นที่พึ่งของประชาชนโดยแท้จริง”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้สอบถามผู้บังคับบัญชาหรือไม่ ในกรณีที่ไม่มีชื่อตนเองในบัญชีโยกย้าย รวมถึงการร้องเรียนคณะกรรมาธิการ ถือเป็นความไม่ไว้วางใจในระบบของ ก.ตร. หรือไม่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ระบุว่า ก่อนดำเนินการทุกอย่าง ได้เห็นข้อมูลในบัญชีที่ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองชุดเล็กแล้ว ซึ่งเป็นชื่อบุคคลใกล้ชิดผู้มีอำนาจ บางคนที่อยู่ในบัญชีก็ไม่มีความรู้ความสามารถที่เพื่อนตำรวจจะเห็นได้

“มีตำรวจหลายคนไม่กล้าออกมา ไม่กล้าพูด เพราะกลัวนายจ้องเล่นงาน แต่ผมเหมือนหนังหน้าไฟ เพราะสู้กับความถูกต้องและความเป็นธรรมมาเยอะ เป็นสิทธิข้าราชการที่จะออกมาเรียกร้อง ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บังคับบัญชาจะมามอบหมาย”

พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวอีกว่า การยื่นร้องต่อคณะกรรมาธิการตำรวจไม่ได้เพื่อตนเอง แต่เพื่อผู้ที่มีสิทธิ์ทั้งหมด เช่น ผู้บัญชาการอายุราชการ 4 ปี ก็ไม่พิจารณา แต่ไปดูคนอื่นอายุเกิน 1 ปี นี่ถือเป็นข้อชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ใช้หลักการประเมิน แต่ใช้หลักดุลยพินิจ เพราะมีคำสั่งชะลอการประเมินจากสำนักงานกำลังพล (ตร.) ในวันที่ 29 ก.ค. 68 การออกมาครั้งนี้ถือเป็นการพลีชีพ ตนเองเป็นคนจริง แก้ปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงของหน่วยงานมาเยอะ พระก็เปลี่ยนแล้ว ตอนนี้จะมาเปลี่ยนตำรวจด้วย