วันที่ 17 ธันวาคม 2568 มีรายงานว่า คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ลุกขึ้นชี้แจงอย่างเป็นทางการ หลังฝ่ายกัมพูชายังคงนำเสนอข้อมูลเท็จ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในการประชุมคณะกรรมาธิการเสริมสร้างสันติภาพ และในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ นี่ไม่ใช่เวทีทวิภาคี แต่เป็นเวทีพหุภาคีระดับโลก การโกหกในที่เช่นนี้ ไม่ใช่แค่ทำลายความน่าเชื่อถือของคู่กรณี แต่เป็นการดูหมิ่นระบบระเบียบโลกโดยตรง
อัครราชทูตที่ปรึกษา รัชดา สุเทพากุล ตัวแทนประเทศไทย ตอบโต้ด้วยข้อมูลที่ ตรวจสอบได้ และ ปฏิเสธไม่ได้ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 กัมพูชาเปิดการโจมตีด้วยอาวุธอย่างโหดร้าย ไม่เลือกเป้าหมาย พลเรือนไทยเสียชีวิต โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนถูกทำลาย ประชาชนกว่า 400,000 คน ต้องอพยพ โรงพยาบาลและศูนย์บริการสุขภาพกว่า 200 แห่ง ต้องหยุดให้บริการ โรงเรียนเกือบ 400 แห่ง ต้องปิดการเรียนการสอน
นี่ไม่ใช่ ผลข้างเคียงของความขัดแย้ง แต่มันคือ การละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้อง ขออนุญาตใคร ในการใช้สิทธิ์ป้องกันตนเองตาม มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และสิ่งที่ทีมต่างประเทศไทยย้ำต่อที่ประชุมโลก คือ ไทยใช้กำลัง ภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด หลักความจำเป็น หลักความได้สัดส่วน การแยกแยะพลเรือนกับเป้าหมายทางทหาร การลดผลกระทบต่อประชาชนให้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่แยก รัฐที่รับผิดชอบ ออกจาก รัฐที่ก่อปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของกัมพูชา เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทย ได้นำเสนอ หลักฐานยืนยันต่อประชาคมโลก ว่ากัมพูชาได้วาง ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ในดินแดนไทย กลางที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ที่นครเจนีวา ต่อหน้าคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน และต่อหน้าหลักฐานวิดีโอที่ปฏิเสธไม่ได้
ไม่เพียงเท่านั้น จังหวะการโจมตียังเกิดขึ้นไม่นาน หลังจากที่ไทยยึดทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ จากเครือข่ายอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจใกล้ชิดผู้นำกัมพูชา เมื่อข้อเท็จจริงเรียงต่อกัน คำอธิบายเดียวที่เหลืออยู่ คือ นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุทางการทหาร แต่คือการตอบโต้ทางการเมืองในรูปแบบความรุนแรง บนเวทีโลก ประเทศไทยไม่ตะโกน ไม่ใช้วาทกรรมปลุกอารมณ์ แต่ใช้เอกสาร หลักฐาน และกฎหมาย เป็นอาวุธ และนั่นคือเหตุผลที่คำโกหกของกัมพูชา ถูกฉีกออกกลางที่ประชุมสหประชาชาติอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก Thailand FACT Today




















