แค่เติม “ขิง” ลงในน้ำผึ้ง! เปลี่ยนเครื่องดื่มธรรมดาเป็น “ยาดี” แก้ไอ-ขับลม ชะงัดนัก
ช่วงปลายฝนต้นหนาวหรืออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาการไอ เจ็บคอ และหวัดมักจะแวะเวียนมาทักทายคนในบ้านอยู่เสมอ หากคุณกำลังมองหาตัวช่วยจากธรรมชาติที่ทำง่าย ดื่มง่าย และดีต่อสุขภาพ เราขอแนะนำสูตรลับก้นครัวที่เปลี่ยนน้ำผึ้งธรรมดาให้กลายเป็น “ยาอายุวัฒนะ” เพียงแค่ผสมกับ “ขิง” เท่านั้น
ทำไม “น้ำผึ้ง + ขิง” ถึงเป็นคู่หูดูแลสุขภาพ?
การนำวัตถุดิบสองอย่างนี้มารวมกัน เปรียบเสมือนการผนึกกำลังของสมุนไพรชั้นเลิศ น้ำผึ้ง เปรียบเสมือน “ยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติ” ที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และมีรสหวานที่ช่วยเคลือบและปลอบประโลมลำคอได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ ขิง คือสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย มีสาร “จินเจอรอล” (Gingerol) ช่วยลดอาการอักเสบ ขับเสมหะ และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เมื่อทั้งสองอย่างมารวมกัน จึงกลายเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ และฟื้นฟูร่างกายจากไข้หวัดได้อย่างรวดเร็ว
5 ประโยชน์เน้นๆ จากน้ำผึ้งผสมขิง
- แก้ไอและเจ็บคอ: น้ำผึ้งช่วยละลายเสมหะ ส่วนขิงช่วยลดการระคายเคือง ถือเป็นยาแก้ไอธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูง
- เสริมภูมิคุ้มกัน: สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำผึ้งและขิง ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับไวรัสหวัดได้ดีขึ้น
- แก้หนาว ลดอาการสั่น: การดื่มน้ำขิงน้ำผึ้งอุ่นๆ จะช่วยให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ลดอาการหนาวสั่นได้ทันที
- ช่วยย่อยอาหาร: เหมาะสำหรับคนที่ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เพราะขิงมีฤทธิ์ช่วยขับลมและกระตุ้นระบบย่อย
- ฟื้นฟูร่างกายหลังป่วย: ช่วยเติมพลังงานและทำให้ผู้ที่เพิ่งหายป่วยรู้สึกสดชื่น แข็งแรงเร็วขึ้น
แจกสูตรชง “น้ำผึ้งขิง” ดื่มถูกวิธี ดีกว่ากินยา
เคล็ดลับสำคัญคือ ห้ามใช้น้ำเดือดจัด เพราะความร้อนสูงจะทำลายเอนไซม์และคุณค่าทางอาหารในน้ำผึ้ง
ส่วนผสม:
- ขิงสดฝานบางๆ 1-2 แว่น (หรือขิงสับ 1 ช้อนชา)
- น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำอุ่น 200 มล. (อุณหภูมิประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส)
วิธีทำ: ใส่ขิงลงในแก้ว เติมน้ำอุ่นลงไปแช่สักพักให้กลิ่นและรสของขิงออกมา จากนั้นเติมน้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน จิบตอนอุ่นๆ เช้าหรือก่อนนอนจะดีที่สุด
ข้อควรระวัง: ใครบ้างที่ไม่ควรดื่ม?
แม้จะเป็นสมุนไพรธรรมชาติ แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่ม ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ห้ามทานน้ำผึ้งเด็ดขาดเพราะระบบย่อยอาหารยังไม่สมบูรณ์ ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารระยะเฉียบพลัน และผู้ที่ทานยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเป็นประจำ




















