Home ข่าว สุขภาพ เด็กวัยแค่ 15 ช็อกพบ “เนื้อร้าย” ก้อนใหญ่ครึ่งตับ พอรู้ว่า “กินอะไรทุกวัน” แพทย์ถึงกับโกรธ!

เด็กวัยแค่ 15 ช็อกพบ “เนื้อร้าย” ก้อนใหญ่ครึ่งตับ พอรู้ว่า “กินอะไรทุกวัน” แพทย์ถึงกับโกรธ!

99

มะเร็งตับในเด็กวัย 15 จาก “ขนมกับอาหารแพ็กสำเร็จรูป” แทบทั้งวัน เตือนพ่อแม่อย่าให้ของกินเล่นกลายเป็นมื้อหลัก

กรณี มะเร็งตับในเด็กวัยรุ่น ที่ประเทศจีนกำลังกลายเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ เด็กหญิงวัย 15 ปีในมณฑลเหอหนานถูกพบว่ามีก้อนมะเร็งในตับขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของอวัยวะ ทั้งที่ในครอบครัว 3 รุ่นไม่เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเลย แพทย์จึงชี้ว่า สาเหตุสำคัญมีแนวโน้มมาจาก “โต๊ะอาหารในบ้าน” ที่เต็มไปด้วยของทอด มัน หวาน และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารปรุงแต่งสูง ซึ่งทำให้ตับทำงานหนักเกินไปเป็นเวลานาน

การกินอาหารตามใจปาก โดยเฉพาะการใช้ขนมและอาหารสำเร็จรูปแทบทั้งวันแทนมื้อหลัก อาจไม่เพียงทำให้น้ำหนักเกิน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังและ มะเร็งตับในเด็ก ได้โดยที่ครอบครัวไม่รู้ตัว การเข้าใจว่าอาหารแบบไหนเป็น “กับดักน้ำมัน–น้ำตาล–สารปรุงแต่ง” และจับสังเกตสัญญาณผิดปกติของตับให้เร็วที่สุด จึงเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

เคสเด็กหญิงวัย 15 ก้อนมะเร็งกินพื้นที่เกือบครึ่งตับ

เด็กหญิงวัย 15 ปีจากเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ถูกส่งตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หลังจากมีอาการปวดหน่วงบริเวณชายโครงขวาเรื้อรัง ผลตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อร้ายในตับขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร ใหญ่เท่ากำปั้นและกินพื้นที่เกือบครึ่งตับ แพทย์ถึงกับระบุว่านี่เป็นภาวะที่รุนแรงเกินกว่าที่ครอบครัวจะคาดคิด

เมื่อซักประวัติอย่างละเอียด แพทย์พบว่า ในสามชั่วอายุคนของครอบครัวไม่มีใครมีประวัติมะเร็ง จึงตัดปัจจัยทางพันธุกรรมออกไปและมองย้อนกลับไปที่วิถีชีวิต โดยเฉพาะ “สิ่งที่อยู่บนโต๊ะอาหาร” ซึ่งถูกพบว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดของเคสนี้

เมื่อขนมกลายเป็นมื้อหลัก ตับต้องทำงานหนักเกินไป

ครอบครัวเล่าว่า เด็กหญิงแทบจะกินของว่างเป็นมื้อหลักติดต่อกันเป็นเวลานาน อาหารที่กินบ่อยคือบะหมี่ถ้วยสำเร็จรูป เฟรนช์ฟรายส์ ขนมกรุบกรอบรสจัด ขนมเผ็ดยอดนิยม และไก่ทอดบรรจุซองสำเร็จรูป แม้แต่ตอนที่แพทย์เข้าห้องพักคนไข้ ยังเห็นเธอกำลังถือไก่ทอดแบบแพ็กเกจอยู่ในมือ

อาหารเหล่านี้มักมีปริมาณ น้ำมัน เกลือ น้ำตาล และสารปรุงแต่ง สูงมาก เช่น สารกันเสีย ไนไตรท์ และสีสังเคราะห์ เมื่อถูกกินซ้ำ ๆ ตับซึ่งเป็นอวัยวะหลักในการกำจัดสารพิษและเผาผลาญสารอาหารต้องทำงานหนักเกินขีดจำกัดในทุกวัน ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลายเรื่อย ๆ และเพิ่มความเสี่ยงการเกิดเซลล์กลายพันธุ์จนพัฒนาไปสู่มะเร็งได้ในที่สุด

สารปรุงแต่งอาหาร อันตรายกว่าที่หลายคนคิด

สารปรุงแต่งในอาหาร คือสารที่เติมลงไปเพื่อเพิ่มสี กลิ่น รส เนื้อสัมผัส หรือยืดอายุสินค้า หน่วยงานกำกับดูแลด้านอาหารในไต้หวันแบ่งสารเหล่านี้ออกเป็น 17 กลุ่ม โดยในนั้นมี 3 กลุ่มที่ถูกมองว่าน่ากังวลเป็นพิเศษ ได้แก่ สารกันเสีย ไนไตรท์ และสีสังเคราะห์ ซึ่งมักพบในของกินยอดฮิตของเด็กและวัยรุ่นในชีวิตประจำวัน

1. สารกันเสีย

สารกันเสียพบได้ในอาหารกระป๋อง น้ำอัดลม ผลไม้อบแห้ง เนื้อสัตว์แปรรูป และของขบเคี้ยวจำนวนมาก หน้าที่ของมันคือยืดอายุสินค้าไม่ให้เสียเร็ว แต่ในมุมของร่างกาย การได้รับสารเหล่านี้มากเกินไปทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อย่อยสลายและกำจัดออกจากกระแสเลือด หากสะสมต่อเนื่องยาวนานตับอาจอักเสบ เสื่อม หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายเป็นมะเร็งได้

2. ไนไตรท์ (Nitrite)

ไนไตรท์มักถูกใช้ในเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก เพื่อให้เนื้อมีสีแดงสวยและมีกลิ่นรสเฉพาะ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ไนไตรท์สามารถเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งจัดเป็นสารก่อมะเร็งที่มีความรุนแรงสูง จากข้อมูลของหน่วยงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) การกินเนื้อแปรรูปเพียงวันละประมาณ 50 กรัม ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. สีสังเคราะห์

สีสังเคราะห์เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมที่พบมากในลูกอม น้ำหวานสีจัด ขนมเด็ก และเบเกอรี่หลายประเภท บางชนิดถูกเชื่อมโยงกับอาการสมาธิสั้น เด็กไฮเปอร์ ภาวะแพ้ผิวหนัง หรืออาการระคายเคืองในทางเดินอาหาร ยิ่งเด็กกินบ่อยเท่าไร ร่างกายและตับยิ่งต้องทำงานมากขึ้นในการจัดการสารแปลกปลอมเหล่านี้

6 สัญญาณเตือนมะเร็งตับที่ไม่ควรมองข้าม

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลมะเร็งในฮ่องกงระบุว่า มะเร็งตับระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมาพบแพทย์ตอนที่โรคลุกลามแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ควรสังเกตอย่างใกล้ชิด หากพบอาการต่อไปนี้ร่วมกันหลายข้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์

  1. ปวด แน่น หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณชายโครงขวาหรือท้องส่วนบน
  2. น้ำหนักตัวลดลงรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้ลดอาหาร
  3. รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรังแม้พักผ่อนเพียงพอ
  4. ตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของตับ
  5. ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ ขณะที่อุจจาระสีซีดลง
  6. ท้องโตหรือแน่นท้องจากการมีน้ำในช่องท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ

พ่อแม่ต้องช่วย “คุมโต๊ะอาหาร” ป้องกันมะเร็งตับในเด็ก

เคส มะเร็งตับในเด็กวัย 15 ปี จากประเทศจีน สะท้อนให้เห็นว่าโรคมะเร็งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้ใหญ่หรือคนดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับพฤติกรรมการกินในชีวิตประจำวันของเด็กยุคใหม่ พ่อแม่จึงควรช่วยกำหนดขอบเขตการกินของว่าง ของทอด และอาหารสำเร็จรูป ไม่ปล่อยให้ขนมและอาหารแพ็กกลายเป็น “มื้อหลัก” ของลูก

การจัดตารางอาหารให้มีผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนคุณภาพดี ควบคู่กับการจำกัดอาหารแปรรูป น้ำอัดลม และขนมหวาน จึงเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสุขภาพของตับและร่างกายโดยรวม หากพบว่าลูกมีอาการปวดชายโครงขวาเรื้อรัง น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรพาไปตรวจเช็กกับแพทย์ทันที เพราะ มะเร็งตับ ไม่ใช่โรคที่ไร้ทางรักษา หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก โอกาสหายขาดยังมีอยู่มาก