Home ข่าว ข่าวสังคม ช่อ พรรณิการ์ ถาม นายกฯอนุทิน หลังฉีกสัญญาสันติภาพ

ช่อ พรรณิการ์ ถาม นายกฯอนุทิน หลังฉีกสัญญาสันติภาพ

7

โดยเมื่อวานที่ผ่านมา น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกคณะก้าวหน้า ได้เปิดใจถึงการเดินหน้าต่อของประเทศไทย โดยเฉพาะการทำงานของ นายกอนุทิน เจ้าตัวเชื่อว่าทุกคนล้วนมีความรู้สึกหมดความอดทนและอยากจะรบกับกัมพูชาให้มันจบๆไป แต่คำถามมันอยู่ที่ว่า หลังจาก นายกอนุทิน ประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา และบอกว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์” นั้น

จริงๆแล้วนายกมีเป้าหมายของยุทธวิธีที่เพียงพอต่อการรบให้ชนะกัมพูชาและชนะสายตาชาวโลกหรือไม่ เพราะการที่จะเอาชนะกัมพูชาไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดเวียดนามที่เคยชนะสหรัฐก็ไม่ได้ง่ายที่จะชนะกัมพูชาอย่างเด็ดขาด ต้องเสียทหารไปอย่างมหาศาล ดังนั้นถ้าไทยจะรับกับกัมพูชา ซึ่งเชื่อว่ายังไงเราก็ชนะ แต่ทหารเราก็พร้อมที่จะเสียชีวิตใช่ไหม? หากเราจะบุก แล้วเราจะบุกไปถึงไหน?

พอบุกเสร็จ ยึดครองเสร็จ เราจะทำยังไงต่อ? เราจะปกครองกัมพูชาเลย หรือเราจะเปลี่ยนนายกของกัมพูชา? นั่นคือแผนที่นายกต้องมีให้ชัด ก่อนจะบอกว่าเตรียมรบ รวมถึงเราต้องมีเหตุผลมากพอที่จะไปอธิบายต่อโลกและ UN เพื่อให้โลกเข้าใจว่าที่เราทำไปเป็นเพราะต้องการป้องกันตัวเอง เพราะกติกาสากลระบุไว้ชัดเจนว่าการรบต้องทำเพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น

เพื่อให้เราชนะในเวทีโลกและ UN ด้วย ไม่ใช่ว่าหลังลบเสร็จเรากลับตกเป็นจำเลยของ “สมเด็จฮุนเซน” ที่ออกมาเล่นบทเหยื่อ แล้วบอกว่าถูกประเทศไทยรังแก นี่ยังไม่นับถึงปัญหาของพี่น้องชายแดนที่ตอนนี้อยู่ในฤดูเกี่ยวข้าว เสียงของชาวบ้านก็จะสะท้อนออกมาว่าขอเกี่ยวข้าวให้เสร็จก่อนได้ไหม รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องชายแดน เรื่องแบบนี้เรามีแผนรองรับให้ชัด

ดังนั้น นางสาวช่อ จึงขอยืนยันว่าสิ่งที่ประเทศไทยต้องทำมากที่สุดในตอนนี้นั่นคือการทำลายหัวใจหลักที่หล่อเลี้ยงระบบของ “สมเด็จฮุนเซน” นั่นคือ “สแกมเมอร์” แล้วทั่วโลกก็พร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในการปราบปรามสิ่งนี้ ซึ่งยังไงประเด็นนี้กัมพูชาก็เล่นบทเหยื่อไม่ออก เพราะทั่วโลกจะต้องออกมาประกาศว่าพวกเขาต่างหากที่เป็นเหยื่อของรังสแกมเมอร์ในกัมพูชา แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ “สมเด็จฮุนเซน” กำลังเบี่ยงประเด็นให้เราไปโฟกัสที่ชายแดน ด้วยการวางทุนระเบิดใหม่

แล้ว “นางสาวช่อ” บอกว่าสิ่งที่น่าเศร้าและน่าทุเรศที่สุดของเรื่องนี้ คือดูเหมือนว่า “นายกอนุทิน” จะมีผลประโยชน์ร่วมกันกับกัมพูชาในเรื่องนี้ ด้วยการหาทางเดินออกจากเรื่องการปราบปรามสะแกมเมอร์ที่ “นายกอนุทิน” ทำไม่ได้สักที ผ่านไปเป็นเดือนแล้วก็ยึดทรัพย์ได้แค่หลักร้อยล้าน น้อยกว่าทรัพย์ที่ยึดได้จากวัดพระบาทน้ำพุเสียอีก ในขณะที่ประเทศอื่นสามารถยึดทรัพย์เรื่องนี้ได้เป็นหลักแสนล้าน

แล้วการที่ “นายกอนุทิน” มีท่าทีเหมือนจะทะเลาะกับ “โดนัลด์ ทรัมป์” นั้น ทำให้รู้สึกงง เพราะแม้ไทยจะไม่ได้เป็นทาสอเมริกา แต่ไทยเป็นประเทศที่ค้าขายกับอเมริกามากเป็นอันดับ 1 เศรษฐกิจของไทยพึ่งพาสหรัฐอเมริกามากกว่าจีนด้วยซ้ำ แต่เรากลับไม่เกรงใจเขา แถมยังท้าทายหักหน้า “โดนัลด์ ทรัมป์” ด้วยกันฉีกสัญญาสันติภาพ แล้ว “โดนัลด์ ทรัมป์” เกลียดที่สุดนั่นคือการถูกหักหน้า ทั้งที่จริงๆแล้วกัมพูชาต่างหากเป็นฝ่ายผิดสัญญาจากการละเมิด วางทุ่นระเบิด แล้วเขาเงียบ

แต่ไทยกลับออกมาประกาศฉีกสัญญาแทนที่จะประกาศว่ากัมพูชาชั่ว ทำทหารไทยขาขาด แล้วชวนอเมริกามาผลักดันให้กัมพูชาต้องโดนลงโทษ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล “นางสาวช่อ” บอกว่า “นายกอนุทิน” รู้เรื่อง แต่เลือกที่จะไม่ทำ เพราะต้องการให้ได้คะแนนนิยมจากการหันไปสนับสนุนการทำสงครามตรงชายแดนอย่างที่ประชาชนสนใจ แล้วระงับเรื่องการปราบสแกมเมอร์หรือหาก “นายกอนุทิน” ไม่มีแผนการรบ แล้วอ้างว่าจะไม่รบเต็มรูปแบบ ก็ควรจะมีวิธีทำให้โลกล้อมกัมพูชาแล้วกดดันเรื่องสแกมเมอร์และการละเมิดสัญญาสันติภาพ

พร้อมกับการทำสงครามข่าวบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้กัมพูชาทำอยู่อย่างเดียว แต่วันนี้สิ่งที่ตนเห็นนายกทำคือ “แทนที่นายกจะรักษาผลประโยชน์ชาติ ด้วยการวางหมากวางเกมที่ฉลาด ให้เหนือกว่ากัมพูชา วันนี้เห็นแต่การวางหมากเพื่อเรียกคะแนนนิยมของตัวเอง ส่วนประเทศชาติจะเป็นยังไงก็ช่าง จะเสียเปรียบกัมพูชาหรือจะหลุดเข้าหลุมพรางฮุนเซนยังไงก็ช่าง

วันนี้กลายเป็นเข้าทางฮุนเซนต์หมด เพราะเขาได้รับบทที่ถนัด นั่นคือบทเหยื่อ กลับมามีบทพูดในเวทีโลกอีกครั้ง หลังจากเงียบไป 2 เดือนเพราะโดนโจมตีหนักเกี่ยวกับเรื่องสแกมเมอร์จากประชาคมโลก จึงต้องถามกับนายกอนุทิน ว่าตกลงแล้วเป็นแนวร่วมมุมกลับกับฮุนเซนต์หรือเปล่า”

ขอบคุณข้อมูล: amarintv