Home ข่าว ข่าวสังคม ไทย-กัมพูชา ลงนามถอนอาวุธหนัก บ่ายวันนี้

ไทย-กัมพูชา ลงนามถอนอาวุธหนัก บ่ายวันนี้

38

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 รายงานความคืบหน้าการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) ระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชา ณ ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ – โอร์เสม็ด ประเทศกัมพูชา

การประชุมดังกล่าวมี เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะเลขานุการ RBC ฝ่ายไทย และ รองเสนาธิการภูมิภาคทหารที่ 4 ในฐานะเลขานุการ RBC ฝ่ายกัมพูชา เข้าร่วม เพื่อหารือ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) ว่าด้วยการปรับกำลังและถอนอาวุธหนัก ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปสมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 (GBC) ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซียก่อนหน้านี้

สำหรับวันนี้ (31 ต.ค.) เวลา 09.00 น. จะมีการประชุมหารือรายละเอียดเพิ่มเติม และในช่วงบ่าย ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกัน ลงนาม บันทึกการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ระหว่าง แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย และ ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา ณ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม  โอร์เสม็ด

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้กรอบผลการหารือของ คณะกรรมการชายแดนทั่วไปสมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 (2nd Special General Border Committee – GBC) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดย นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ไทย และมาเลเซีย ร่วมกับ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในการส่งเสริมความโปร่งใส ความไว้วางใจ และการบริหารจัดการกำลังทางทหารอย่างมีความรับผิดชอบในภูมิภาค

ด้าน กองทัพไทย ยืนยันความพร้อมในการเดินหน้าสันติภาพชายแดน โดยพิจารณาจากความจริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนไทย พร้อมย้ำว่า การปรับกำลังและถอนอาวุธจะทำในระดับที่เหมาะสมต่อการดูแลความสงบเรียบร้อย ลดความตึงเครียด และสร้างความเชื่อมั่นระหว่างสองประเทศ

ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ การสังเกตการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team – AOT) โดยกองทัพไทยยืนยันว่า ทุกขั้นตอนจะยึดมั่นในหลักการแห่ง อธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนไทย เป็นสำคัญ