‘ดวงดาว’ ชม ‘คุณยายบรรเจิดศรี’ เต็มเปี่ยมด้วยวิญญาณนักแสดง ขอกราบลา วันนึงจะได้พบกัน

เป็นอีกหนึ่งนักแสดงผู้ทรงคุณค่าของบ้านเรา สำหรับคุณยายบรรเจิดศรี ยมาภัย ที่จากไปอย่างสงบในวัย 100 ปี

ทั้งนี้ในงานพิธีสวดอภิธรรมคืนแรกของคุณยายบรรเจิดศรี ซึ่งมีคนในวงการบันเทิงมาร่วมไว้อาลัยกันอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ ดวงดาว จารุจินดา ที่มาร่วมฟังสวดอภิธรรมในคืนแรก ก็ได้เปิดใจกับสื่อมวลชน หลังจากสูญเสียคุณยายบรรเจิดศรีผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน และเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพรักให้ฟังว่า

“คืนนี้ก็มาร่วมฟังสวดอภิธรรมคืนแรก ก็อันดับแรกคือตกใจหลังจากทราบข่าว คือปกติจะไปกราบสวัสดีปีใหม่พี่แดง (ลูกสาวป้าศรี) กับป้าศรีทุกปี พอมา2ปีหลังก็คือไม่ได้เจอกับพี่แดงและป้าศรี แต่เราก็คอยฟังข่าวอยู่ตลอดนะ และท่านก็เพิ่งจะจัดเลี้ยงอายุครบ100ปีไป ก่อนหน้านี้ก็พอทราบถึงอาการป่วยของป้าศรีบ้าง และตอนที่ท่านเล่นละครอยู่ด้วยกัน ป้าศรีชอบกินน้ำอัดลม แล้วก็กระดูกท่านเริ่มหายไป เราก็รู้ตรงนี้ว่า ท่านมีการผ่าตัดกระดูก ครั้งที่เราไปเยี่ยมท่าน ท่านก็จะคุย อารมณ์ดีเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าไม่ได้ลุกขึ้นมาเหมือนเดิม พอมารู้อีกทีท่านก็เสียแล้ว เลยมาถามพี่แดงว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร”

“จริงๆ ท่านก็ไปสบายแล้ว ส่วนความผูกพันกับท่าน ผูกพันมากๆ ไม่อยากพูดน้ำตาจะไหล (เสียงสั่น) คืออาดาวกับป้าศรีเล่นละครคู่กันมาตั้งแต่เรื่อง คู่กรรม ซึ่งเรื่องนี้ก็ใช้เวลายาวนานในการถ่ายทำมากเลย เพราะฉะนั้นการที่เราอยู่กับทุกคนในกองถ่าย ไม่ว่าจะเป็น เบิร์ด ธงไชย น้องกวาง กมลชนก หรือป้าศรี มันอยู่กันแบบทุกวัน เหมือนเราเลิกหยุดการพากษ์หนัง เพื่อมุ่งสู่การเล่นละคร เพราะว่าเราอยากเล่นบทแม่อร ซึ่งในอดีตเราเคยพากษ์หนัง เป็นคุณจินตรา เป็นอังศุมาลิน ฉะนั้นชีวิตเราที่อยู่ด้วยกันกับป้าศรี เล่นด้วยกันหลายต่อหลายเรื่องมาก แล้วป้าศรีนอกจากจะเป็นนักแสดงแล้ว ท่านยังดูแลกองเหมือนกับคุมเรื่องการเงิน ดูนู่นดูนี่ และป้าศรีก็เป็นสาวนักซิ่ง ท่านก็จะขับรถเองและเร็ว เราก็จะมีแซวกันในกองตลอดเวลา”

“ป้าศรีเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรักมากๆ มีความผูกพันมากถึงมากที่สุด ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่อาดาวเข้าใจนะว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา และท่านก็แบบหลับไปสบาย อยู่มา100ปีแล้ว แถมยังแข็งแรง เพียงแต่ว่าเรารู้สึกใจหายในส่วนของเรา คือถ้าเราได้มีโอกาสเจอกันอีกสักครั้งหรืออย่างน้อยวันที่ท่านครบ100ปี เราได้ไปร่วมงานมันจะรู้สึกดีกว่านี้ ถามว่ายังติดอยู่ในใจไหม คือไม่เป็นไร เพราะว่าเราก็เก็บสิ่งดีๆ ที่เรามีต่อกันเอาไว้ และเป็นความทรงจำที่งดงามมากๆ”

“ครั้งสุดท้ายที่ป้าศรีมาเล่นละครกับเราคือเรื่องสายโลหิต ก็มารับเชิญ อันนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ร่วมแสดงด้วยกัน เล่นละครกับคุณยายเยอะมาก คือนอกจากจะเล่นละครด้วยกันแล้ว อย่างที่บอกป้าศรีก็ยังมาดูแลที่กอง ถึงแม้จะไม่ได้เล่นเรื่องนั้น ก็จะแซวตลอด หมวย สุภาภรณ์ ก็จะรู้ว่าป้าศรีชอบทานน้ำอัดลม คุณสุภาภรณ์ก็จะเซอร์วิสป้าศรีตลอด ทุกคนรักป้าศรีหมด มันเป็นความรัก ความผูกพัน ความจริงใจ งดงามและป้าศรีก็ใจดีมาก ยิ้ม และป้าศรีก็มีความสุขในการที่ได้เล่นละคร เวลาที่มากองถ่ายป้าศรีจะมีความสุขมากๆ”

สิ่งที่คุณยายเป็นต้นแบบให้กับคนรุ่นหลังคืออะไร?
“ไม่เคยได้ยินป้าศรีบ่นเลยนะ สักคำหนึ่งก็ไม่เคยและบทก็จำแม่น ท่องบทมา ถึงแม้ช่วงหลังๆ จะใช้วิธีใส่หูฟัง แต่ช่วงแรกๆ ท่านจำบทเองได้ ท่านก็ท่องบท แล้วก็เล่นคือเป็นคุณยายที่น่ารัก ตอนเล่นกนกลายโบตั๋นกับเรา ท่านก็เล่นเป็นแม่เรา แล้วในเรื่องเราไปแต่งงานกับคนจีนแล้วต้องไปอยู่ที่เมืองจีน แล้วแม่ไปหา มันประทับใจซาบซึ้งมาก”

วิธีการทำงานของคุณยายที่อาดวงดาวซึมซับมา?
“ก็อยู่ด้วยกัน พวกเราถ่ายไปออกไปนะสมัยก่อน ท่านก็อายุเยอะกว่าเราเยอะ แต่ก็ไม่เห็นป้าศรีบ่นว่าเหนื่อยหรือว่าอะไรเลย ก็สู้กันไป อยู่ด้วยกันแบบมีความสุข ความรักมีรอยยิ้ม ในช่วงพักเบรกไม่ได้ถ่ายก็คุยเล่นกัน มันมีความสุขเหมือนเป็นครอบครัวเลย”

ตอนกราบลาคุณยายได้บอกอะไรไหม?
“ตอนกราบลาคุณยายก็บอกว่าไม่เป็นไร วันนึงเราก็ได้เจอกัน วันนี้ก็กราบลาป้าศรี ไปส่งป้าศรีเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ ป้าศรีที่แสนดี น่ารัก แล้วก็อบอุ่น รักทุกคน ใจดีกับทุกคนหมด ไม่เคยเห็นป้าศรีดุเลย ตั้งแต่ทำงานกับป้าศรีมา ใครแซวใครแหย่อะไรป้าศรีก็จะยิ้มตลอด แล้วก็ตั้งใจทำงาน และมีอินเนอร์ดีมาก เป็นวิญญาณนักแสดงแบบเต็มที่ เต็มเปี่ยม เขาจำบทจำคิว คือ สุดยอด ก็กราบลาป้าศรี แล้วความทรงจำระหว่างเราสองคนจะอยู่ในใจของดาวตลอดไป แล้ววันหนึ่งเราจะได้พบกัน หลับให้สบาย”

หลายๆ คนก็ยกให้คุณยายเป็นนักแสดงที่ทรงคุณค่าในบ้านเรา?
“เราก็ภูมิใจในฐานะที่เราก็เป็นเหมือนหลานคนนึงของป้าศรี ได้ทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนานหลายปีมากๆ”

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here