Home ข่าว ข่าวสังคม ทูตไทย ลุกขึ้นสวนทันที หลัง พลันที่นายดารา อิน กล่าวโจมตีกลางเวที เพจดังเผยเขมรถึงกับเอามือปิดหน้า

ทูตไทย ลุกขึ้นสวนทันที หลัง พลันที่นายดารา อิน กล่าวโจมตีกลางเวที เพจดังเผยเขมรถึงกับเอามือปิดหน้า

321

วันที่ 11 ต.ค.2568 เพจดัง Drama-addict ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความแชร์จาก ชุมชนคนสุรินทร์ โดยระบุถึงเรื่องเขมรกล่าวอ้างประเทศไทย วางแผนมาที่จะเล่นงานในทุกวงประชุมระดับนานาชาติ

ซึ่งฝ่ายไทยได้ชี้แจงกลับ ระบุว่า พลันที่นายดารา อิน ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ขึ้นกล่าวโจมตีประเทศไทยในวง ExCom (Executive Committee of the High Commissioner Programme) ซึ่งเป็นประชุมที่พิจารณานโยบาย วางงบประมาณ และกำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั่วโลก ไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองเลยสักนิด ท่านเอกอัครราชทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา น้องรักของท่านทูต ก็ลุกขึ้นสวนทันที

ขอบคุณท่านประธาน ด้วยความเสียใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องขอใช้สิทธิ์ในการพูด เพื่อตอบต่อถ้อยแถลงของเพื่อนร่วมภูมิภาคจากกัมพูชา เวทีพหุภาคีเช่นนี้ไม่ควรถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูล เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

-ประการแรก ประเทศไทยขอยืนยันอีกครั้งว่า หมู่บ้านที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงนั้นตั้งอยู่ในดินแดนของไทย การดำรงอยู่ของหมู่บ้านเหล่านี้เป็นผลจากการที่ประเทศไทยตัดสินใจเปิดพรมแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เพื่อให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หลบหนีสงครามกลางเมืองในประเทศตนเองเข้ามาพักพิงในประเทศไทย นี่เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจและหลักมนุษยธรรม

ซึ่งเป็นรากฐานของธรรมเนียมปฏิบัติด้านมนุษยธรรมอันยาวนานของประเทศไทย หมู่บ้านเหล่านี้ในตอนแรกเป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราวในช่วงทศวรรษ 1980 สำหรับชาวกัมพูชาที่หลบหนีการสู้รบ ซึ่งผ่านการคัดกรองโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อรอการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม อย่างไรก็ตาม หลังจากความขัดแย้งในกัมพูชาสิ้นสุดลงในช่วงทศวรรษ 1980 และที่พักพิงชั่วคราวได้ปิดตัวลงแล้ว ต่อมามีชาวกัมพูชาบางส่วนเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว และขยายการตั้งถิ่นฐานออกไปอีก

แม้ประเทศไทยจะได้ประท้วงหลายครั้งต่อการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยตอบสนองหรือดำเนินการรับผิดชอบใด ๆ ในทางกลับกัน เมื่อไม่นานมานี้ กองทัพกัมพูชาได้กระตุ้นให้ประชาชนชาวกัมพูชา รวมถึงเด็ก สตรี และพระภิกษุ เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เพื่อกระทำการยั่วยุประเทศไทย ซึ่งมีเจตนาเพื่อเพิ่มความตึงเครียด

นี่เป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายภายในของประเทศไทยอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีที่มีอยู่ และเป็นหลักฐานแสดงถึงความล้มเหลวของกัมพูชาในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 การกระทำของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรมและความเป็นมิตรที่ดีต่อเพื่อนบ้าน ไม่ควรถูกตอบแทนจากกัมพูชาในลักษณะเช่นนี้

-ประการที่สอง เกี่ยวกับเชลยศึก ประเทศไทยขอย้ำว่า เชลยศึกจำนวน 18 นายถูกจับกุมได้ระหว่างการสู้รบที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน อันเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง บุคคลเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและมนุษยธรรมอย่างครบถ้วนตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ได้เข้าถึงเชลยศึกเหล่านี้เป็นประจำ และอำนวยความสะดวกในการติดต่อกับครอบครัวของพวกเขา การคุมขังของพวกเขาไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกนำกลับไปเข้าร่วมการสู้รบอีก พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศเมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง

อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน กัมพูชายังคงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และพยายามทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศ แทนที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่ได้ตกลงไว้ โดยเฉพาะสิ่งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยในความจริงใจและความสุจริตใจของกัมพูชาในการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุแนวทางที่ตกลงกันไว้ หลักฐานที่ชัดเจนของการปฏิบัติด้วยความสุจริตใจจากฝ่ายกัมพูชา จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการหารือเพิ่มเติมของเราในอนาคต พร้อมกล่าวขอบคุณท่านประธาน