Home ท้องถิ่น พท.จัด 20 ขุนพลอภิปรายนโยบาย สุทินเย้ย 4 เดือนทำไม่ได้จริง

พท.จัด 20 ขุนพลอภิปรายนโยบาย สุทินเย้ย 4 เดือนทำไม่ได้จริง

33

วันที่ 27 กันยายน 2568 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการอภิปรายรัฐบาลระหว่างการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 29-30 กันยายนนี้ว่า พรรคเตรียมตั้งคำถามสำคัญต่อรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยที่เข้ามาบริหารประเทศได้ 4 เดือน ว่าแผนนโยบายที่นำเสนอสามารถทำได้จริงหรือไม่ พร้อมตั้งข้อสงสัยถึงความเหมาะสมของบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะในประเด็นความเชื่อมั่นจากต่างประเทศและศักยภาพในการทำงานร่วมกับระบบราชการ

นายสุทินกล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นร้อนที่สังคมจับตามอง อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ คดีฮั้ววุฒิสภา และปมเขากระโดง จะเป็นประเด็นหลักในการอภิปราย ซึ่งต้องการเห็นความจริงใจของรัฐบาลในเรื่องเหล่านี้

ได้มีการถามว่าจะมีรัฐมนตรีรายใดถูกอภิปรายเป็นพิเศษหรือไม่ นายสุทินตอบว่า ขอให้ติดตามในวันอภิปราย แต่คาดว่าไม่น่าพ้นจากประเด็นที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะเรื่องคุณสมบัติและความสามารถของรัฐมนตรีบางราย

สำหรับการจัดทีมอภิปราย พรรคเพื่อไทยเตรียม ขุนพล ไว้ประมาณ 20 คน โดยยืนยันว่าไม่ได้ตั้งกลุ่มเฉพาะสำหรับการประท้วง แต่มีการเตรียมพร้อมหากเกิดสถานการณ์ในห้องประชุม

ในส่วนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่นั้น นายสุทินแสดงความเห็นว่า หลายมาตรการดูเป็นนโยบายที่ทำได้ยาก ใช้เงินมหาศาล และขัดกับข้อเท็จจริงด้านการคลังของประเทศ พร้อมตั้งคำถามว่าเงินจะนำมาจากไหนในเวลาที่จำกัด

เมื่อถามถึงแนวโน้มการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล นายสุทินระบุว่า ยังไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่หากรัฐบาลดำเนินนโยบายที่สุ่มเสี่ยงต่อการเสียหายของบ้านเมือง พรรคพร้อมเปิดฉากทันที

4 เดือนของรัฐบาลนี้ผมคิดว่าไปได้ แต่จะเป็นการเดินหน้าแบบอิหลักอิเหลื่อ และสร้างความเสียหายให้ประเทศ ทั้งระบบนิติรัฐ ประชาธิปไตย และระบบรัฐสภา โดยเฉพาะการโยกย้าย ส.ส. หรือการตั้งรัฐมนตรีเพื่อจัดการคดีที่อ่อนไหว อย่างคดีเขากระโดง หรือการฮั้วกับวุฒิสภา นายสุทินกล่าว

พร้อมระบุชัดว่า การแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ใกล้ชิดกับพรรคผู้มีอำนาจ อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะต้องติดตามกันต่อไปว่า การดำเนินการเหล่านั้นจะ เนียนหรือไม่เนียน และจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในระยะยาว