จากกรณีข้อถกเถียงการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุด ทางด้าน ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ว่า “🇹🇭 ปิดด่าน = ชาตินิยม? … ญี่ปุ่นคือคำตอบ! 🇯🇵 จากกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากรัฐบาลไทยไม่ยอมเปิดด่านไทย-กัมพูชา ตามคำเรียกร้องของรัฐบาลญี่ปุ่น
ด้วยเหตุชาตินิยม ญี่ปุ่นคงเข็ดขยาดกับประเทศไทยนั้น เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากสารานุกรม Britannica ได้ให้คำนิยาม ชาตินิยม (Nationalism)
คือ อุดมการณ์หรือความสำนึกที่แสดงออกถึงความรัก ความผูกพัน และความจงรักภักดีอย่างแรงกล้าต่อชาติ โดยถือว่าภาระผูกพันต่อชาติ
มีน้ำหนักมากกว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือกลุ่มอื่น ข้อเท็จจริงที่ผ่านมาปรากฏชัดว่า ประเทศที่สามารถพัฒนาจนมีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ต่างมีพลเมืองรวมถึงนักการเมือง ที่เห็นประโยชน์ของชาติสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนตน
และประโยชน์ของประเทศอื่นทั้งสิ้น นับจากอดีตถึงปัจจุบัน การตัดความสัมพันธ์ รวมถึงการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เป็นมาตรการที่นานาอารยประเทศมักใช้เพื่อกดดันประเทศที่เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
อาทิ กรณีการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนนับแต่ปี 2565 สหภาพยุโรปได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียอย่างหนักหน่วงในหลายรูปแบบ เพื่อทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียอ่อนแอ
จนแสนยานุภาพในการรบต่ำลง แม้ว่ารัสเซียจะยังมิได้มีการรุกรานประเทศเหล่านี้ก็ตาม เช่นเดียวกัน เพื่อปกป้องอธิปไตยและรักษาความปลอดภัยของคนในชาติ ปี 2542
สมาชิกรัฐสภาของญี่ปุ่นได้เสนอกฎหมายเพื่อจำกัดการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคง ซึ่งรวมถึงเกาหลีเหนือ เนื่องจากมีความกังวลว่า เทคโนโลยีและอุปกรณ์เชิงพาณิชย์อื่นๆ
จำนวนมากที่ผลิตโดยบริษัทญี่ปุ่น อาจถูกประเทศเหล่านั้นนำไปเป็นส่วนประกอบในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ จนอาจกลับนำมาใช้โจมตีญี่ปุ่น นอกเหนือจากความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ
ในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ประเทศญี่ปุ่นยังได้มีมาตรการเพิ่มเติมด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง เช่น ในปี 2552 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยุติการส่งออกและนำเข้าสินค้ากับเกาหลีเหนือทั้งหมด
ซึ่งครอบคลุมสินค้าจากประเทศที่ 3 ด้วย ล่าสุด เมษายน 2568 ได้มีการขยายระยะเวลามาตรการดังกล่าวเพิ่มอีก 2 ปี รัฐบาลญี่ปุ่นเข้าใจดีว่า การระงับการส่งออกสินค้าไปยังเกาหลีเหนือ
ทำให้ผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ และเม็ดเงินไหลเข้าประเทศลดลงอย่างมาก แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น
หากไม่ยุติความสัมพันธ์กับประเทศที่คาดว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคง น่าสนใจว่า การตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกับประเทศเกาหลีเหนือดังกล่าว
เป็นไปเพื่อตอบโต้การพัฒนาขีปนาวุธ รวมถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหาการลักพาตัว และประเด็นกิจกรรมผิดกฎหมายอื่น ๆ โดยที่เกาหลีเหนือยังมิได้มีการโจมตีญี่ปุ่นแต่อย่างใด
เหตุการณ์กองกำลังกัมพูชาโจมตีบ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล และสถานประกอบการ ระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 จนทำให้เด็กนักเรียน ประชาชนผู้บริสุทธิ์
และทหารไทย ได้รับบาดเจ็บ ตาบอด แขนขาขาด และสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เป็นบทเรียนที่รัฐบาลไทยต้องตระหนักว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องยุติความสัมพันธ์ทางการค้ากับกัมพูชา
ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ เฉกเช่นที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้เคยกระทำไว้เป็นแบบอย่าง โดยคนญี่ปุ่นซึ่งเป็นชนชาติที่มีสำนึกรักชาติบ้านเมืองอย่างเต็มเปี่ยม
และพร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ย่อมเข้าใจความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องปิดด่านเพื่อให้กัมพูชาสิ้นสภาพ
จนไม่สามารถเป็นอันธพาลสร้างความหายนะให้กับประเทศไทยได้อีก!**ภาพประกอบบางส่วนเมื่อครั้งผู้เขียนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น**
ขอบคุณข้อมูล: ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล