จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ “กำแพงเพชร ร้องเรียนอะไร บอกไว้ที่นี่“ ได้นำเสนอเรื่องราวจากเจ้าของบ้านหลังหนึ่งที่ได้ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากเพจฯ โดยมีเนื้อหาว่า “เจ้าของบ้านสุดช้ำ…!!! เด็กแถวบ้านมาปีนกำแพงรั้วเล่น กำแพงล้มทับขาหัก ผู้ปกครองเด็กเรียกเงินแสนเยียวยา

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.67 ได้มีเด็กอายุ 7 ขวบ มาวิ่งเล่นแถวบ้าน แล้วด้วยความซุกซนจึงโหนกำแพงรั้วบ้านเล่น ทำให้รั้วกำแพงพังลงมาทับเด็กจนขาซ้ายหัก หลังจากนั้นผู้ปกครองเด็กเข้าแจ้งความว่าเจ้าของบ้านประมาท ทำให้เด็กบาดเจ็บสาหัส

ที่ผ่านมามีการพูดคุยไกล่เกลี่ย ฝ่ายคู่กรณีเรียก 1 แสนบาท เป็นค่าเยียวยาเด็ก ตนเองไม่มีจึงถูกดำเนินคดี ตอนนี้ขั้นตอนถึงชั้นอัยการ รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงขอนำเสนอเรื่องราวนี้ผ่านสื่อ

ล่าสุดที่บ้านที่เกิดเหตุ พื้นที่ ม.13 (บ้านวังน้ำขาว) ต.ไตรตรึงษ์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร เพื่อพบกับน.ส.ศิริพร อายุ 34 ปี เจ้าของบ้าน โดยได้พาเดินดู บริเวณรั้วปูนอิฐบล็อกฝั่งขวาของบ้าน ซึ่งพบว่ามีอิฐบล๊อกชั้นบนจำนวน 2 ชั้น ได้พังร่วงลงไปอีกฝั่ง ที่ไม่ใช่ที่ดินของตนเอง ซึ่งล้มไปทับเด็ก 7 ขวบ จนได้รับบาดเจ็บขาหัก

เจ้าของบ้านเล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 22 มิ.ย.67 เวลา 18.00 น. ซึ่งในวันเกิดเหตุเจ้าของบ้านไม่ได้อยู่บ้าน ออกไปขายของ โดยมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้มาเล่าให้ตนฟังว่ามีเด็ก 4 คน มาเล่นกันข้างกำแพงรั้วข้างบ้าน และโหนกำแพง จนกำแพงพังร่วงลงมา

ผู้เห็นเหตุการณ์ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จึงเข้าไปดูพบว่ากำแพงได้พังลงมาอีกฝั่งของบ้านตน และทับเข้าที่ขาของ เด็กหญิง อายุ 7 ขวบ โดยแม่ของเด็กได้เข้ามาช่วยเหลือ และนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งก็ทราบภายหลังว่ามีการผ่าตัด เนื่องจากขาหัก

ต่อมาแม่ของเด็กได้โพสต์ลงโซเชียลว่า เจ้าของบ้านไม่มาเยี่ยม ไม่ถามไถ่ดูแล ตนจึงได้สอบถามว่าตนผิดอะไร “กำแพงตนอยู่เฉยๆ” ซึ่งแม่เด็กก็ตอบตนมาว่า “กำแพงมันซ่อมได้” ด้วยความโมโหตนจึงตอบไปว่า “พี่ก็รักษาอยู่ ก็ซ่อมได้เหมือนกัน”

ตนเข้าใจว่ากำแพงของตนอยู่เฉยๆไม่ได้ผิดอะไร แต่เด็กมาโหนเองทำให้พัง จนได้รับบาดเจ็บ คิดว่าแม่เด็กคงโกรธ เลยเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตน ซึ่งตำรวจก็ได้แจ้งข้อกล่าวหาตน ว่า “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส” ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ต้องมาเสียเงิน 1 แสนบาท เพื่อเยียวยาเด็กที่มาโหนกำแพงตนมันไม่ยุติธรรม

จึงได้นำเรื่องดังกล่าวร้องไปยังเพจฯ และสื่อมวลชน ขอให้ทนายไพศาลและทนายเดชา ให้คำแนะนำและช่วยเหลือตนเองด้วย เพราะหลายคนมีรั้วกำแพงบ้าน ไม่รู้กฎหมาย ก็อาจจะไม่รู้ว่า จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้หรือไม่ หากเจอแบบตน อยากให้เป็นกรณีตัวอย่าง จากนี้ตนก็จะขอสู้ในกระบวนการกฎหมายให้ถึงที่สุด เพราะเชื่อว่าตนไม่ผิด ซึ่งจะให้ตนไปออกรายการไหนก็จะไป เพื่อร้องขอความเป็นธรรม

ซึ่งขณะเดียวกันมี ชาวบ้านได้มารวมตัว และแสดงความคิดเห็นว่า เรื่องดังกล่าวเจ้าของบ้านไม่ได้ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ รั้วอยู่เฉยๆจะต้องมาเสียเงินอีก ซึ่งผลของคดี สุดท้ายจะออกมายังไง หากผิดก็คงต้องทุบรั้วทิ้ง แต่ถ้าไม่ผิดช่วยกันเยียวยาก็ว่าไปอีกอย่าง แต่แม่ของเด็กก็มีส่วนผิดด้วย ซึ่งมองว่าจะเรียกเงินเยียวยา 100,000 บาทมันมากเกินไป เกินกว่าเหตุ โดยวันนี้ก็มาให้กำลังใจเจ้าของบ้านให้สู้คดีให้ถึงที่สุด

ขณะที่ น้องผู้รับบาดเจ็บ ได้พาผู้สื่อข่าวไปชี้จุดที่รั้วกำแพงล้มทับจนขาหัก และชี้รอยแผลผ่าตัดที่ขาซ้ายให้ดู พร้อมเล่าว่า ตอนนั้นตนเล่นกับน้องอยู่ และรู้สึกเหนื่อย จึงไปพิงที่กำแพงรั้ว จนรู้สึกว่ารั้วมันโยกๆ จึงผลักน้องออก และวิ่งออกมา แต่สะดุดหินล้ม หนีไม่ทันจนกำแพงล้มทับขา หนูยืนยันว่าไม่ได้โหนกำแพง หนูแค่พิงอย่างเดียว จนแม่มาช่วยเหลือ ซึ่งตอนผ่าตัดไม่รู้สึกเจ็บอะไร โดยตอนนี้หายแล้ว

ด้าน น.ส.เจนจิรา อายุ 36 ปี แม่ของเด็ก 7 ขวบ ได้นำเอกสารผลชันสูตรของแพทย์หลังจากผ่าตัดให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมเล่าในมุมของตน หลังจากอีกฝ่ายไปร้องเรียนเพจ จนทัวร์ลงครอบครัวตน ซึ่งบางคนไม่รู้ก็ด่าลูกของตนที่ไม่รู้เรื่องอะไร ยอมรับว่าทั้งครอบครัวรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งคนที่แชร์ส่วนใหญ่ในด้านลบก็จะเป็นฝั่งของคู่กรณีทั้งนั้น

พร้อมเล่าว่า ”คู่กรณีได้นำโพสต์ของน้องสาวตนไปให้ตำรวจดู เพื่อจะดำเนินคดีกับฝั่งตน ซึ่งตำรวจก็บอกว่าเอาผิดไม่ได้ เพราะน้องสาวไม่ได้ด่า ครอบครัวตนต้องการให้มาคุยกันเท่านั้น แต่คู่กรณีก็โจมตีครอบครัวตนทุกเพจที่ลงเรื่องนี้ ซึ่งวันนั้นลูกสาวตนได้ขอออกมาเล่นนอกบ้านกับน้องอายุ 9 เดือน และบอกว่าเหนื่อยจึงยืนพิงกำแพง ซึ่งลูกก็บอกอีกว่ากำแพงมันโยกจนล้มทับ ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และเห็นตอนกำแพงพังลงมา ซึ่งยังโชคดีที่ได้ผลักเด็ก 9 เดือนออกมาก่อน ไม่งั้นต้องมีสูญเสียมากกว่านี้ ลูกสาวตนต้องผ่าตัดใส่เหล็กที่ขาด้านซ้าย

ซึ่งหลังจากเกิดเหตุตนก็ได้คุยกับฝั่งคู่กรณี “ว่าตนไม่ได้ตั้งใจทำให้กำแพงพัง” ทางนั้นจะว่ายังไงบ้าง ตนเลยบอกว่าไม่มีน้ำใจที่จะถามไถ่ลูกของตนเลยเหรอ ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ตั้งใจที่จะพูดดีด้วย แต่ก็ถูกสวนกลับมาว่า “กำแพงพังก็ซ่อมได้ ขาลูกพี่หักก็ซ่อมได้” ทำให้ตนโมโห และเป็นชนวนเหตุทำให้ต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว

ตัดสินใจไปแจ้งความ โดยตำรวจเจ้าของคดี ก็บอกว่าอีกฝั่งก็มาปรึกษาแล้วจะเอาเรื่องตนที่ทำกำแพงพัง และคดีหมิ่นประมาท ซึ่งตำรวจก็ได้เข้าไปปลุกลูกสาวตนในรถ และให้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ตำรวจบอกว่าคดีพลิกแล้วล่ะ จึงรับแจ้งความตนทันที

ส่วนเงินที่ตั้งไว้ 1 แสน ตนก็ปรึกษากับหลายๆคนว่าจำนวนเงินนี้เหมาะสมแล้ว เพราะลูกตนต้องเจ็บถึง 2 ครั้ง ปีหน้าก็ตัองผ่าเอาเหล็กออกอีก ซึ่งคู่กรณีไม่มีเยียวยาใดๆเลย มีแค่นมมา 5 แพ็คเท่านั้น คำพูดดีๆยังไม่มี แล้วยังมาร้องเอาผิดให้ทัวร์ลงตนอีก ทั้งที่ศาลยังไม่ตัดสินยังไม่รู้ใครผิดใครถูก

ลูกหนูไปไหนลูกหนูต้องร้องไห้ตลอด ตนจึงต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกของตน จริงๆมันคุยกันได้ คือถ้าออกมาขอโทษ หรือซื้อกระเช้ามาซักอัน พูดดีๆเรื่องแบบนี้จะไม่เกิด แต่ตอนนี้เรื่องมันบานปลายไปแล้ว