Home ท้องถิ่น อังคณา ชี้น่าอับอาย จับนร.กัมพูชา เพจดังเปิดข้อกฎหมายหลักสากล

อังคณา ชี้น่าอับอาย จับนร.กัมพูชา เพจดังเปิดข้อกฎหมายหลักสากล

20

จากกรณีที่ก่อนหน้านี้โลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องราวของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ได้เล่าว่า เด็กชายชาวกัมพูชา อายุ เพียง 13 ปี ถูกดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ล่าสุดวันที่ 28 สิงหาคม 2568 นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิก วุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวระบุว่า

เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทยที่ถือเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่องสิทธิเด็ก #การนำเด็กเข้าคุกถือเป็นความผิดพลาดและน่าอับอายอย่างยิ่งของประเทศไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการคุ้มครองเด็กตาม พรบ. คุ้มครองเด็ก และอนุสัญญาสิทธิเด็ก #CRC โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม เพราะเด็กไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง หรือเป็นผู้ก่อความรุนแรง นอกจากนั้น ในช่วงสงครามเด็กยังต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child: #CRC) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ #IHL กฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล #IHRLโดยหลักการสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมคือ #เด็กทุกคนต้องได้รับความคุ้มครองพิเศษจากผลกระทบของความขัดแย้งทางอาวุธ นอกจากนั้น #อนุสัญญาเจนีวา และพิธีสารเพิ่มเติม ยังกำหนดให้คู่ขัดแย้งต้องคุ้มครองพลเรือน โดยเฉพาะกรณีเด็กที่ติดตามครอบครัวเพื่อหนีภัยความตาย จำเป็นได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ การปฏิบัติต่อเด็กในการนำเด็กเข้าคุก ถือเป็นเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เป็นการเหยียดหยาม แก้แค้น หรือกีดกันเด็กในการเข้าถึงการศึกษาและการพัฒนา ซึ่งเป็นสิทธิของเด็กที่ไม่มีข้อจำกัดแม้ในภาวะสงคราม

การดำเนินคดีและการปฏิบัติต่อเด็กในฐานะผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง ต้องเป็นไปตาม #หลักความยุติธรรมสำหรับเด็ก (juvenile justice) โดยเจ้าหน้าที่ต้องระลึกว่าเด็กไม่ได้กระทำผิดเพราะเด็กไม่ได้เข้ามาเองแต่เด็ก ๆ แต่เข้ามาโดยติดตามผู้ปกครอง เด็กจึงไม่มีความผิด และควรได้รับความคุ้มครองแทนที่จะถูกลงโทษ และต้องปฏิบัติต่อเด็กในฐานะ “ผู้ติดตาม” ไม่ใช่ “ผู้กระทำผิดอาญา” นอกจากนั้น การที่เจ้าหน้าที่นำเด็กเข้าคุกในความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ทำให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจเรื่องทางเลือกแทนการกักตัวเด็ก (MOU-ATD) (https://www.mfa.go.th/th/content/5d5bd20815e39c30600278f5…) ที่รัฐบาลได้ทำไว้กับหน่วยงานของรัฐ 7 กระทรวง รวมถึงกระทรวงศึกษาและสำนักตำรวจแห่งชาติ กรณีนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการสิทธิเด็กในระดับสากล โดยเฉพาะหลักการ “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” (Best Interest of the Child) ซึ่งควรเป็นหลักการที่ทุกฝ่ายต้องเคารพ … กรณีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรีบปล่อยตัวเด็กโดยทันที พร้อมทั้งเยียวยาและฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กโดยเร็วที่สุด รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศต้องทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทั่วไปถึงพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และต้องรับประกันว่าจะไม่เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

ขณะที่เพจ คลินิกกฎหมาย มูลนิธิกระจกเงา ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลักการ Education for All เป็นพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเคยยืนยันไว้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 โดยย้ำว่า เด็กทุกคนมีสิทธิได้เรียนหนังสือ แม้ไม่มีสัญชาติ หรือมีสถานะเข้าเมืองไม่ปกติก็ตาม

การทูตเพื่อสันติภาพที่ทรงพลังที่สุด คือการศึกษา เด็กทุกคนจึงควรได้เรียนไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  หลักสากลเรื่องการศึกษาสำหรับทุกคน แนวคิดเรื่องรัฐทุกรัฐต้องจัดการศึกษาสำหรับเด็กทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ (Education for All) ก็เติบโตขึ้นหลังการเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยทั่วโลกได้มาลงนามร่วมกันในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 26 UDHR และพัฒนาความเข้าใจและความตกลงว่า “เด็กทุกคนต้องได้เรียนไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และรัฐนั้น ๆ ต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับเด็ก” ในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 13 ICESCR, ข้อ 28 CRC, ข้อ 31 AHRD ประเทศไทยก็มีความชัดเจนในเรื่องนี้ โดยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฏาคม 2548 เพื่อยืนยันหลัก Education for All และเกิดกฎหมายนโยบายการกำหนดรหัส G ให้กับเด็กทุกคนที่ยังไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เพื่อให้เด็กทุกคนได้เข้าเรียน และได้รับค่าหัวการศึกษาพื้นฐาน

จึงหมายความว่า เด็กไม่ว่าจะถือสัญชาติใด ถือเอกสารทะเบียนแบบใด หรือไม่ว่าจะมีเอกสารทางทะเบียนหรือไม่ และรวมถึงไม่ว่าจะมีสถานะการเข้าเมืองอย่างไร ก็ไม่เป็นอุปสรรคด้านการศึกษา แล้วหากพบเด็กและเยาวชนที่มีสถานะเข้าเมืองไม่ปกติควรทำอย่างไร ? เรื่องการเข้าเมืองผิดกฎหมาย จริง ๆ แล้วก็คือ การเข้าเมืองที่ไม่ได้เข้ามาตามช่องทางปกติ และไม่ได้มีหนังสือผ่านแดน (Border Pass) หรือไม่ได้ขอวีซ่าเข้าเมืองอย่างถูกต้อง (VISA) ซึ่งความผิดแบบนี้เรียกว่า ความผิดที่ไม่ทำตามกติกา และยิ่งเป็นเด็ก ก็ยิ่งไม่มีเจตนาก่ออาชญากรรม จึงเป็นเรื่องที่แก้ไขสถานะเข้าเมืองให้ปกติได้ เมื่อเป็นเด็กนักเรียนรหัส G คือ เด็กนักเรียนในสถานศึกษาไทยที่รอการพิสูจน์สถานะทางทะเบียนและสัญชาติ โรงเรียนจึงมีหน้าที่ส่งเรื่องให้อำเภอตรวจสอบสถานะ และหากยังไม่สามารถมีหลักฐานหรือพิสูจน์ประเทศต้นทางได้ จะต้องทำบัตรเลข 0 ให้เด็กใช้ถือแสดงตนก่อน แต่หากมีหลักฐานจากประเทศต้นทางโรงเรียนมีหน้าที่ส่งเรื่องขอทำหนังสือผ่านแดน หรือทำหนังสือเดินทางขอวีซ่าให้เด็กเข้าเรียน ระหว่างที่รอการแก้ไขปัญหาเอกสารแสดงตัว และเอกสารการเข้าเมืองของเด็ก น้องก็จะมีสถานะ คนที่รอการส่งกลับ ตามม.54 พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 โดยให้น้องได้อยู่เพื่อเรียนก่อนได้ และมีกลไกการแก้ไขปัญหาเอกสารคู่ขนานไป ซึ่งเป็นหลักการปฏิบัติโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ (the Best Interest of Child) ข้อ 3 CRC

เมื่อเด็กถูกจับกุมแล้วจะทำอย่างไร ? จริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อพบตัวเด็กที่มีสถานะการเข้าเมืองไม่ปกติ พวกเขาคือเด็กเปราะบาง ตำรวจมีหน้าที่แจ้งพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) เพื่อเข้ามาช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นกลไกตามกฎหมาย ไม่ใช่การจับกุมพาเด็กเข้าห้องขัง เมื่อพลัดไปถูกจับกุมดำเนินคดี เรื่องนี้ก็จะเข้าไปอยู่ในความดูแลของศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งศาลก็จะมีกลไกคุ้มครองสิทธิเด็ก โดยสืบเสาะประวัติ และมีคำแนะนำให้ดำเนินการปรับสถานะเข้าเมืองให้ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องผลักดันเด็กออกนอกไทยจนทำให้หลุดจากระบบการศึกษา

อ้างอิงข้อกฎหมายนโยบายไทยที่ควรรู้

1. มาตรา 4 และมาตรา 54 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560)

2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553

3. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545

4. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548

5. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548

6. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2522

โพสต์นี้เป็นภารกิจของคลินิกกฎหมายกระจกเงา ที่ขอสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันต่อหลักกฎหมายสากลและหลักกฎหมายไทยที่มีต่อเรื่องการศึกษาสำหรับเด็ก โดยหยิบหยกประเด็นและข้อมูลจากข่าวที่เกิดขึ้น จนเกิดการตั้งคำถามจำนวนมากในสังคม