19 สิงหาคม 2568 ในอีก 2 วันข้างหน้า จะเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของความเคลื่อนไหวทางการเมือง ในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวนพยานกรณี คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน โดยในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ศาล รธน. นัดไต่สวนพยาน 2 ปาก ประกอบด้วย นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เลขาฯ สมช.) กับ น.ส.แพทองธาร
โดยการเบิกความครั้งนี้ ไม่ใช่ภาคบังคับ ข้อมูลค่อนข้างชัดว่า สามารถส่งเอกสารแทนการไปปรากฏตัวได้ อย่างไรก็ดีการที่ศาล รธน. เรียกนายกฯ มาไต่สวน แสดงว่าศาลต้องการฟังข้อมูลจากปากนายกฯ โดยตรง ทั้งๆที่นายกฯเสนอพยาน 5 ปาก ไม่มีตัวเอง แต่ศาลเลือก 1 ปากคือ เลขาฯ สมช. และเรียกนายกฯไต่สวนด้วย ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่านายกฯ น่าจะไปขึ้นศาลเพื่อไต่สวนพยานด้วยตัวเอง เพราะไม่มีการถ่ายทอดสด มีแค่ถ่ายทอดเสียง
อย่างไรก็ดี หลังวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ก่อนถึงวันตัดสิน 29 สิงหาคม 2568 หลายกระแสพากันจับตาว่า นายกฯจะลาออกหรือไม่
ถามว่า ถ้านายกฯลาออกแล้วตัดจบคดีหรือไม่ กรณีนี้ มีการอ้าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 51 ยังสามารถตัดสินคดีต่อได้ ถ้ามองว่าเป็นประโยชน์สาธารณะ
คำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลไว้แล้ว ก่อนศาลจะมีคำวินิจฉัยหรือมีคำสั่ง ถ้าผู้ร้องตายหรือมีการขอถอนคำร้อง หรือไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีนั้น ศาลจะพิจารณาสั่งจำหน่ายคดีนั้นก็ได้ เว้นแต่การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ที่ผ่านมาโดยปกติแล้ว หากผู้ถูกร้องลาออกจากตำแหน่ง ศาลจะไม่ดำเนินการตัดสินต่อ เหมือนคดีของนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ชิงลาออกก่อนศาล รธน. จะมีคำวินิจฉัย เมื่อเคยมีบรรทัดฐานในลักษณะนี้มาแล้ว หากปฏิบัติไม่เหมือนกัน อาจทำให้เกิดคำถามถึงมาตรฐานในการพิจารณาคดีได้ อย่างไรก็ดีการตัดสินใจสุดท้ายขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจของศาล
ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวลือเรื่องดีลลับมติ 5:4 มีทิศทางว่านายกฯรอด จริงหรือไม่? แต่ที่ผ่านมามีกระแสข่าวดีลบางที แต่สุดท้ายก็หักปากกาเซียนถ้วนหน้า โดยข้อมูลตามกระแสข่าวดีลลับนี้ วิเคราะห์ได้ว่า
1.ยังไม่มีหลักฐาน “ดีลลับ” คาดว่าศาลตัดสินไปตามความเห็นทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างอิสระ และมีความเป็นไปได้สูงที่นายกฯแพทองธาร จะถูกวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง
2.การเมืองจะดำเนินไปตามสภาพความเป็นจริง โดยมีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงฉากทัศน์เลวร้ายที่สุด คือ มาตรา 144 ข้อห้ามเกี่ยวกับการแปรญัตติงบประมาณรายจ่าย ที่อาจมีการล้มกระดาน แต่การเมืองจะมีทางออกของตัวเอง คือ การอาศัยข้าราชการประจำบริหารประเทศไปชั่วคราว สุดท้ายเชื่อว่าฝ่ายการเมืองจะต้องหันมาหาทางออกร่วมกัน
3.การเลือกตั้งใหม่ หากเป็นไปตามฉากทัศน์นี้ จะเกิดขึ้นเร็ว ก่อนรัฐบาลและสภาหมดวาระนานมาก โดยมีตัวแปรที่ตัองพิจารณา 2 กรณี
1.กรณีที่รัฐบาลต้องยุบสภาจากปัญหาภายในรัฐบาลเอง ภายใต้เงื่อนไขที่ “ตระกูลชินวัตร” ยังมีอิทธิพลอยู่
- การเลือกตั้งจะเป็นการแข่งขันกัน 3 พรรค คือ เพื่อไทย ประชาชน ภูมิใจไทย
- ผลเลือกตั้งจะออกมาก้ำกึ่งกัน จำนวน สส.ไม่แตกต่างกันมาก และน่าจะมี สส.ย้ายพรรคจำนวนมาก
- โอกาสจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล มีความเป็นไปได้ทุกพรรค
2.กรณี “ตระกูลชินวัตร” หมดอนาคตทางการเมืองจากคดีความต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อสถานะของพรรคเพื่อไทยค่อนข้างมากการเลือกตั้งน่าจะเป็นการแข่งขันกัน 2 พรรค คือ ประชาชน กับ ภูมิใจไทยการจัดตั้งรัฐบาล ตัวแปรจะขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองขนาดกลางและเล็กที่เหลือว่าจะเลือกอยู่กับฝ่ายใด
ดังนั้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อสถานการณ์และทิศทาง คือ ผลของคดีการเมืองช่วงเดือน ส.ค.ถึง ก.ย. 2568
รวมถึงพรรคการเมืองที่อาจจะมาเป็นตัวแปร อาจถึงขั้นตัวแปรตั้งรัฐบาล คือ พรรคโอกาสใหม่
อย่างไรก็ดี นาทีนี้สามารถจับจังหวะก้าว “นายใหญ่“ ก่อนตัดสินคดีใหญ่ของลูกสาวพบว่ามีการบริจาคและทำบุญใหญ่หลายครั้ง บริจาคบ้านน็อคดาวน์ ผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านชั่วคราวที่ระดมจิตอาสาก่อสร้าง โดย ทักษิณ ชินวัตร บริจาคช่วย 4-5 หลังแรก เป็นเงินประมาณ 2.6 ล้านบาท
สนับสนุนการจัดงานบุญใหญ่ อุทิศให้ผู้เสียชีวิตชายแดนใต้ โดยให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต ครอบครัวละ 2,000 บาท คาดว่าใช้เงินสูงสุดไม่เกิน 6 ล้านบาท โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า นายใหญ่ทำบุญใหญ่ เพื่อให้ตัวเองและลูกรอดพ้นจากบ่วงกรรมในคดีต่างๆ
<