คุณป้าวัย 65 ปี อดีตพนักงาน กฟภ. ร้องสื่อฯ ถูกมิจฉาชีพหลอก 2 รอบ สูญเงินกว่า 4.2 ล้านบาท ซ้ำถูกปฏิเสธแจ้งความที่ ปอท.
เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นางสมสกุล (นามสมมุติ) อายุ 65 ปี อดีตพนักงาน กฟภ. เข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชนว่า ตนเดินทางจากจังหวัดนครราชสีมามายังศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ หลังจากถูกกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลายหน่วยงาน ทั้งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หลอกให้โอนเงินกว่า 30 ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 2.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเก็บหลังเกษียณและเงินที่กู้ยืมมาเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายให้ลูกชาย
อดีตพนักงาน กฟภ. สุดช้ำ โดนหลอกแล้วหลอกอีก สูญเกลียง 4.2 ล้าน
อดีตพนักงาน กฟภ. สุดช้ำ โดนหลอกแล้วหลอกอีก สูญเกลียง 4.2 ล้าน
นางสมสกุล เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมกราคม 2568 โดยเงินที่ถูกหลอกไปนั้นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากการทำงาน กฟภ. มา 35 ปี และบางส่วนยังต้องหยิบยืมมาเพื่อลูกชาย ทำให้ตอนนี้สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมลูก และยังถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้ที่บ้านทุกวัน เมื่อคืนที่ผ่านมา จึงต้องอาศัยนอนพักที่เก้าอี้ภายในศูนย์รับแจ้งความฯ แห่งนี้ เนื่องจากไม่กล้ากลับบ้านไปเผชิญหน้ากับลูกชายและบรรดาเจ้าหนี้
อดีตพนักงาน กฟภ. สุดช้ำ โดนหลอกแล้วหลอกอีก สูญเกลียง 4.2 ล้าน
นางสมสกุล เล่าต่อว่า หลังจากเกษียณจาก กฟภ. เมื่อปี 2566 และได้รับเงินประมาณ 3 ล้านกว่าบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ลูกชายมาบอกว่าติดหนี้พนันออนไลน์ ด้วยความหวังจะช่วยลูก ในวันที่ 22 มกราคม 2567 เธอจึงเข้าไปขอคำแนะนำจากเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่งที่อ้างว่าเป็นของ “สภาทนายความ” ผ่านทางแมสเซนเจอร์ แอดมินเพจดังกล่าวแนะนำให้ติดต่อ “ตำรวจไซเบอร์” รายหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้มีการพูดคุยกันทางแมสเซนเจอร์และไลน์ตำรวจไซเบอร์รายนั้นอ้างว่าจะสามารถนำเงินที่ลูกชายเสียไปคืนมาได้ โดยส่งลิงก์พร้อมชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านมาให้ อ้างว่าตรวจสอบพบเงินที่มิจฉาชีพโอนไปที่บริษัทดังกล่าว แต่ยังไม่ได้ฟอกเงิน จึงให้เธอเข้าไปทำธุรกรรมเพื่อดึงเงินประมาณ 300,000 บาทที่เหลืออยู่ในระบบกลับคืนมา
อดีตพนักงาน กฟภ. สุดช้ำ โดนหลอกแล้วหลอกอีก สูญเกลียง 4.2 ล้าน
แต่เมื่อทำตามคำแนะนำ กลับกลายเป็นถูกหลอกให้โอนเงินไปอีก 36 ครั้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 รวมเป็นเงินประมาณ 2.2 ล้านบาท โดยยอดสุดท้าย 55,000 บาท มิจฉาชีพอ้างว่าจะปิดยอดและได้เงินทั้งหมดคืน และแจ้งว่าเงินทั้งหมดของเธออยู่ที่ ปปง. แล้ว พร้อมส่งลิงก์ใหม่มาให้
อดีตพนักงาน กฟภ. สุดช้ำ โดนหลอกแล้วหลอกอีก สูญเกลียง 4.2 ล้าน
ด้วยความสงสัยว่าน่าจะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก เธอจึงโทรสอบถาม 1441 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC) ศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อให้ปากคำเข้าสู่ระบบฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 หลังจากนั้นเธอก็รอคอยมานานกว่า 6 เดือน โดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงตัดสินใจเดินทางไปที่สำนักงาน ปปง. เมื่อมกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ ปปง. แจ้งว่าชื่อ-นามสกุลตามลิงก์ที่คนร้ายส่งให้นั้นเป็นของมิจฉาชีพ เธอจึงเดินทางไปที่ บช.สอท. เมืองทองธานี ซึ่งแนะนำให้ไปพบตำรวจไซเบอร์ (สอท.3) ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท.3 กลับแจ้งว่าคดีของเธออยู่ที่ สภ.เมืองนครราชสีมา ไม่ได้ส่งมาที่ สอท.
ขณะเดียวกัน ในเดือนมกราคม 2568 นางตุ๊กตาได้เข้าไปปรึกษาเพจเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการทำคดีหลอกลวงออนไลน์ โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่อ้างว่าเป็นป้า และรู้จักตำรวจสืบสวนนครบาลที่เพิ่งตามเงินคืนมาได้ 60,000 บาท แนะนำให้เธอรู้จักและพูดคุยกับตำรวจรายหนึ่งที่อ้างว่าเป็นทีมงานของ “สารวัตรแจ๊ะ” ก่อนจะส่งต่อเรื่องให้ “ตำรวจกองปราบปราม” และส่งเอกสารปลอม 2 ฉบับมาให้ อ้างว่าเป็นของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และกรมบัญชีกลาง
โดยเอกสารจาก CIB ระบุว่า “นางสมสกุล (ระบุชื่อจริงของผู้เสียหาย) เป็นผู้เสียหายที่ถูกฉ้อโกงหลอกโอนเงินจำนวนประมาณ 3 ล้านบาท และ CIB จะไม่ให้ผู้เสียหายเดินทางมารับเงินที่สำนักงาน เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่จะโอนเงิน 1,619,884.97 บาท เข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย โดยมีค่าประกันวงเงิน 161,988.49 บาท ซึ่ง CIB จะช่วยออกให้ครึ่งหนึ่ง และมีเงินส่วนตัวของ ร.ต.อ. กิตติรัธ พันธุ์กิต (หัวหน้าทีม IT ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเครือข่ายออนไลน์) จำนวน 50,000 บาท แต่ผู้เสียหายจะต้องจ่ายค่าประกันวงเงินเพียง 30,994.24 บาท ซึ่งเอกสารระบุว่าได้โอนประกันวงเงินเสร็จสิ้นแล้ว โดยเอกสารลงนามโดย พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง”
อีกฉบับเป็นเอกสารจากกรมบัญชีกลาง ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เรื่องภาษีกรมบัญชีกลาง 10% ระบุว่า “ยอดเงินของนางสมสกุล (ระบุชื่อจริง) ที่กรมบัญชีกลางจะสั่งจ่ายคือ 1,619,884.97 บาท และจะต้องเสียค่าภาษีโอนออก 10% โดยแบ่งโอน 2 รายการเข้าธนาคารกรุงเทพและธนาคารทหารไทยธนชาต โดยแต่ละรายการต้องเสียภาษี 5% และจะได้รับเงินภายใน 12 ชั่วโมงหลังจากเสียภาษีเสร็จสิ้น หากเกิดข้อผิดพลาด กรมบัญชีกลางจะรับผิดชอบชดใช้เงินทั้งหมด โดยเอกสารฉบับนี้ลงนามโดย นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง และ พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง”
อดีตพนักงาน กฟภ. สุดช้ำ โดนหลอกแล้วหลอกอีก สูญเกลียง 4.2 ล้าน
ด้วยความหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่และเอกสารจริง นางสมสกุล จึงโอนเงินเก็บที่เหลือทั้งหมดและเงินที่กู้ยืมมาไปให้อีกหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 รวมประมาณ 2 ล้านบาท ทำให้เธอต้องประสบปัญหาถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้และข่มขู่ที่บ้านในนครราชสีมาทุกวัน ลูกชายก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม และไม่รู้ว่าจะเรียนจบปีสุดท้ายได้อย่างไร เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.) เธอจึงเดินทางมาแจ้งความที่ บก.ปอท. แต่กลับถูกปฏิเสธการรับแจ้งความ แนะนำให้กลับไปแจ้งที่ สภ.เมืองนครราชสีมา ท้องที่เกิดเหตุ ทำให้รู้สึกท้อแท้และไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้ชีวิตอย่างไรดี
หลังจากนั้นได้ไปที่ สอท. ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าแจ้งความได้ครั้งเดียว ไม่สามารถแจ้งความซ้ำได้ แนะนำให้ไปร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อจากนั้นตนได้ข้ามไปสอบถามที่กระทรวงยุติธรรม เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีเคสลักษณะของตน ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร ปลอบใจว่าใครๆ เขาก็โดนแบบนี้ มีทั้งอัยการ ผู้พิพากษาก็โดนกันทั้งนั้น
ก่อนจะเดินทางกลับมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อคืนจึงต้องอาศัยนอนที่หน้าร้านกาแฟปันรัก ข้างกองปราบปราม จนถูกยุงกัดทั่วตัวตลอดทั้งคืน