Home ข่าว ข่าวสังคม เฉลยแล้ว! ทำไมโดรนเขมรรุก 5 วันติด

เฉลยแล้ว! ทำไมโดรนเขมรรุก 5 วันติด

35

วันที่ 12 ธันวาคม 2568  แหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วง 5 วันที่ผ่านมา โดยระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้โดรนเป็นอาวุธโจมตีพื้นที่ฝั่งไทยหลายครั้ง กระทั่งพบว่าผู้ควบคุมโดรนบางรายมิใช่ชาวกัมพูชา ส่งผลให้มีการรวบรวมหลักฐานและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด จนพบว่าโดรนที่ถูกใช้มีลักษณะและรูปแบบใกล้เคียงกับโดรนที่ใช้งานในสงครามยูเครน-รัสเซียอย่างชัดเจน

รายงานระบุว่า สงครามยุคใหม่ได้พลิกโฉมรูปแบบการรบ โดยเฉพาะการใช้ โดรน FPV แบบพุ่งชน (Kamikaze Drone) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นในสมรภูมิยูเครน-รัสเซีย โดรนประเภทนี้มีต้นทุนต่ำแต่สร้างอานุภาพทำลายสูง โครงสร้างโดยทั่วไปประกอบด้วยเฟรมคาร์บอนไฟเบอร์ มอเตอร์ 4 ตัว กล้อง FPV ที่เชื่อมต่อกับแว่นควบคุมแบบเรียลไทม์ และหัวรบขนาดเล็กที่สามารถดัดแปลงจากกระสุนหรืออาวุธชนิดต่างๆ ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายด้วยความแม่นยำสูง และผลิตได้จำนวนมากในสภาพโรงงานภาคสนาม

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบซากโดรนที่ทหารไทยยึดได้ในพื้นที่ช่องบกและช่องอานม้า พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับโดรน FPV ที่ใช้ในสมรภูมิยุโรปตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นเฟรมขนาด 5 นิ้ว โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ แบตเตอรี่ LiPo หัวต่อแบบ XT60 ตลอดจนรูปแบบการติดตั้งหัวรบด้วยเคเบิลไทร์ซึ่งเป็นเทคนิคที่พบในสงครามยูเครน-รัสเซีย อีกทั้งยังตรวจพบสัญญาณควบคุมจากทิศทางกัมพูชาในช่วงเวลาการปะทะ ทำให้ยืนยันได้ว่าการโจมตีเป็นไปอย่างมีแบบแผนและดำเนินการโดยผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านระบบ FPV สูง

รายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ยังระบุว่า ความเป็นไปได้ที่กัมพูชาจะนำโดรนทั้งระบบจากสมรภูมิยุโรปตะวันออกมาใช้งานโดยตรงมีไม่มาก เนื่องจากข้อจำกัดในการขนส่งและกฎควบคุมยุทโธปกรณ์ระหว่างประเทศ สิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่า คือการถ่ายทอดความรู้ เทคนิคการประกอบ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบได้ในสงครามพร็อกซีปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญอาจเดินทางเข้าประเทศในสถานะพลเรือน เช่น นักกีฬาโดรน ช่างเทคนิค หรือที่ปรึกษาเอกชน พร้อมนำอุปกรณ์ควบคุมขนาดเล็กที่ลักลอบขนได้ง่าย หนึ่งในหลักฐานสนับสนุนคือการพบคำสั่งเสียงภาษาอังกฤษ เช่นคำว่า finished ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่ใช้โดยทหารกัมพูชาโดยปกติ แต่ตรงกับคำสื่อสารที่พบในการปฏิบัติการ FPV ในสงครามยูเครน–รัสเซีย

นอกจากนี้ ทิศทางการบิน ความแม่นยำของการโจมตี และวิธีเลือกเป้าหมายสะท้อนชัดว่าผู้ควบคุมมีทักษะระดับสูง ไม่ใช่กำลังพลที่เพิ่งฝึกโดรนเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังพบการใช้ระบบควบคุมโดรนผ่านสายไฟเบอร์ออปติก ซึ่งไม่ถูกรบกวนด้วยเครื่อง jammer ของฝ่ายไทย ทำให้การสั่งการมีเสถียรภาพมากขึ้นในพื้นที่ภูเขา แต่ต้องใช้ความชำนาญสูง แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติการดังกล่าวผ่านการเตรียมการอย่างเป็นระบบ

กองทัพภาคที่ 2 ยังชี้ว่า การเลือกพื้นที่โจมตีบริเวณช่องบกและช่องอานม้าเป็นผลจากการประเมินภูมิยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน เนื่องจากกัมพูชามีพื้นที่สูง เช่น เนิน 745 และเนิน 677 ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานปล่อยโดรนได้อย่างปลอดภัย และทำให้โดรนบินลงสู่พื้นที่ต่ำของไทยได้ง่ายขึ้น อีกทั้งภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหุบเขาและป่าทึบยังช่วยอำพรางสายควบคุมไฟเบอร์ออปติก ทำให้ฝ่ายไทยตรวจจับได้ยากยิ่งขึ้น

ผลกระทบต่อการปฏิบัติการของฝ่ายไทยจึงเกิดขึ้นหลายด้าน ทั้งความเสียเปรียบทางภูมิประเทศ อุปกรณ์ jammer ที่ใช้ไม่ได้ผลกับโดรนแบบใช้สาย รวมถึงแรงกดดันด้านจิตวิทยาจากการโจมตีที่ไม่สามารถระบุต้นทางได้ชัดเจน ทำให้ไทยต้องปรับยุทธวิธีใหม่ ทั้งด้านระบบตรวจจับ การยิงสกัด และการจัดกำลังในพื้นที่ขัดแย้ง

จากการประเมินทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่า กัมพูชาไม่ได้เหนือกว่าไทยในด้านเทคโนโลยีทางทหาร แต่ได้เปรียบจาก การเลือกพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม ผสานกับเทคนิคการรบและบุคลากรที่มีประสบการณ์จากสงครามยูเครน-รัสเซีย ส่งผลให้โดรนของกัมพูชามีประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดการณ์ และเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องนำไปใช้ในการพัฒนาขีดความสามารถด้านสงครามโดรนในอนาคต