ปานเทพ” โพสต์กระหึ่มโซเชียล “ทนายสายหยุด” ขอยุติบทบาทเป็นทนายความให้ทนายตั้ม อ้างจะนำเหตุผล 4-5 ข้อ ออกรายการโหนกระแสกับหนุ่ม-กรรชัย แจงเหตุผลขณะนี้รู้ตัวเหมือนถูกหลอก โดยทนายตั้มตระเตรียมพยานหลักฐานเท็จไว้สู้คดี ด้าน “วิเชียร” นายกสภาทนายความ เผยขั้นตอนสอบมรรยาท “ทนายตั้มและทนายเดชา” ยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ขณะที่ น.1 ตั้งชุดทำงานสืบสวนข้อเท็จจริงหลังรอง ผบช.น.งานจเรตำรวจตรวจพบพฤติการณ์ ผกก.สน.บางซื่อ และ สว. (สอบสวน) มีมูลที่ควรกล่าวหากระทำผิดวินัย หลังสื่อออนไลน์โพสต์เชื่อมโยงโกงเงินเจ๊อ้อย 39 ล้านบาท กรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” ถูกกล่าวหาโกง น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีพันล้าน จำนวน 71 ล้านบาทหลังถูกหลอกให้ลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ โดยนายษิทราถูกกองปราบฯจับกุมพร้อมนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ขณะนี้ทั้งคู่อยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ระหว่างการฝากขัง ส่วนพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการดำเนินคดีในส่วนที่เจ๊อ้อยถูกฉ้อโกงเงินในส่วนที่เหลือ โดยเฉพาะคดีโกงเงิน 39 ล้านบาท มีการปั้นพยานหลักฐานเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับเรื่องถูกดูดเงินจากบัญชีบิทคอยน์ที่ สน.บางซื่อ เพื่อใช้เป็นหลักฐานหลอกเจ๊อ้อยให้หลงเชื่อ จนนำมาสู่การจับกุมนายนุวัฒน์ หรือ “นุ” ยงยุทธ คนสนิททนายตั้ม และ น.ส.สารินี นุชนารถ แฟนสาวนายนุ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ตามหมายจับศาลอาญา ฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”
โดยพนักงานสอบสวนมีหลักฐาน ว่าทั้ง 2 คนไปถอนเงินสด 39 ล้านบาทที่เจ๊อ้อยโอนเข้ามาออกจากธนาคารที่ห้างดังย่านห้าแยกลาดพร้าว ตามที่เสนอข่าวไปนั้น ความคืบหน้าเรื่องนี้เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 พ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) มีรายงานว่า พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ลงนามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล 364/2567 ลงวันที่ 21 พ.ย.67 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ระบุว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย.67 ปรากฏข้อความในสื่อสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กชื่อเพจบิ๊กเกรียน ข้อความ “ผกก.สน.บางซื่อ เชื่อโยงโกงเงินพี่อ้อย 39 ล้านบาท ควรตอบให้กระจ่าง” ผบช.น. ได้มีบันทึกสั่งการมอบหมาย พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. ดูแลงานจเรตำรวจตรวจสอบ ข้อเท็จจริง ผลปรากฏว่า พฤติการณ์การกระทำของข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ได้แก่ พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ พ.ต.ท.สุพัฒน์ หนูแก้ว สว. (สอบสวน) สน.บางซื่อ กรณีวันที่ 23 พ.ค.66 เวลา 12.33 น. น.ส.สารินี นุชนารถ แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดจนถึงที่สุด คดีมี พ.ต.ท.สุพัฒน์ รับแจ้งไว้เพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป คำสั่งดังกล่าวระบุต่อว่า
การแจ้งความครั้งนี้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โทรศัพท์ประสานมายัง พ.ต.อ. ภูวดล ให้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ น.ส.สารินี โดย พ.ต.อ.ภูวดล กับนายษิทรา รู้จักกันประมาณ 5 ปี ก่อนเกิดเหตุ ทุกครั้งที่นายษิทรา หรือคนของนายษิทรา จะมาแจ้งความที่ สน.บางซื่อ นายษิทราจะประสานมายัง พ.ต.อ.ภูวดลก่อน นอกจากนี้ปรากฏว่า หลังรับแจ้งความ พ.ต.ท.สุพัฒน์ไม่สอบสวน ด้วยความรวดเร็วปล่อยระยะเวลาเนิ่นนานอาจทำให้ไม่พบพยานหลักฐานหรือพยานหลักฐานอาจถูกทำลายตามที่ผู้เสียหายกล่าวอ้างหรือทำให้ไม่ทราบว่าพยานหลักฐานที่ผู้เสียหายนำมาแจ้งความเป็นความจริงหรือไม่ อาจเกี่ยวข้องกับการตั้งข้อกล่าวหา ประกอบกับข้อมูลตามรายงานสืบสวนปรากฏว่า ไม่พบประวัติการโอนตามที่ น.ส.สารินีแจ้งความ
โดยช่วงเวลาที่แจ้งความนั้น กระเป๋าเงินที่ถูกกล่าวอ้างว่ารับโอนเงินยังไม่มีการทำธุรกรรมใดๆ กระเป๋าเงินดังกล่าวมีการทำธุรกรรมหลังแจ้งความ 6 ครั้ง ไม่ตรงกับที่ น.ส.สารินี แจ้ง ถือว่า พ.ต.ท.สุพัฒน์ ไม่สอบสวนเพื่อให้ได้ความแน่ชัดว่ามีคดีอาญาเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 419/2556 ลงวันที่ 1 ก.ค.2556 เรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวน และมาตรการควบคุมตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา กรณีนี้หากสอบสวนแล้วไม่ปรากฏความผิดและไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป พนักงานสอบสวนอาจมีความเห็นงดการสอบสวนหรือเห็นควรให้งดการสอบสวนเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นพิจารณา แต่ พ.ต.ท.สุพัฒน์ หาดำเนินการเช่นนั้นไม่ ส่วน พ.ต.อ.ภูวดล เป็นผู้บังคับบัญชาและเป็นผู้สั่งการ พ.ต.ท.สุพัฒน์ ขณะปฏิบัติหน้าที่เวรสอบสวนให้ลงบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุดังกล่าวโดยมิได้กำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพียงพอ
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 พ.ค.66 เวลา 12.33 น. ที่ สน.บางซื่อ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนเรื่องดังกล่าวประกอบด้วย พ.ต.อ.ทินกร สมวันดี รอง ผบก.อก.บช.น. เป็นประธานคณะกรรมการ ทั้งนี้ ให้สืบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2556 ให้แล้วเสร็จแล้วเสนอสำนวนการสืบสวนมาพิจารณาดำเนินการต่อไป วันเดียวกัน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งว่า นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือทนายสายหยุด ทนายส่วนตัวของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม จะยุติการเป็นทนายความของทนายตั้ม โดยโพสต์ดังกล่าวระบุว่า “วันนี้ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิได้รับการประสานจากนายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือฉายาทนายปาเกียว ทนายความคู่ใจผู้ได้รับการมอบหมายจาก “ทนายตั้ม” นายษิทรา ให้เป็นผู้ทำคดีฉ้อโกง “มาดามอ้อย” จตุพร อุบลเลิศ จำนวน 71 ล้านบาท
และคดีอื่นๆที่เกี่ยวข้องว่า ในวันที่ 25 พ.ย. นายสายหยุดจะไปที่รายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เพื่อแถลงข่าวกับพิธีกรคือ “หนุ่ม” นายกรรชัย กำเนิดพลอย ให้สังคมรับทราบว่า จะขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความของนายษิทรา โดยนายสายหยุดให้เหตุผลว่า ขณะนี้รู้สึกตัวว่าถูกหลอก โดยเฉพาะจากพยานหลักฐานที่นายษิทรา ตระเตรียมไว้ให้ล้วนเป็นพยานหลักฐานเท็จ เช่น สัญญาการว่าจ้างทำแอปพลิเคชันสลากออนไลน์ที่เป็นเพียงฉบับร่าง ตอนนี้เอกสารในมือทนายความไม่มีลายเซ็นผู้ใด ประกอบกับได้สืบสวนในทางลับแล้วว่าเฉพาะสัญญาฉบับนี้มีการดัดแปลงแต่งเติมแก้ไขจากคอมพิวเตอร์ในสำนักงานกฎหมายของนายษิทราหลายครั้ง ก่อนที่จะส่งถึงมือตนนั่นหมายความว่า นายษิทราอาจพยายามปิดบังข้อเท็จจริงเหล่านี้ทำให้ตนมิอาจรับทำหน้าที่ทนายความในคดีนี้ได้ต่อไปอีก
ทั้งนี้ ทนายสายหยุดยังให้เหตุผลในตอนหนึ่งด้วยว่า ถือเป็นเรื่องโชคดีที่ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ หนึ่งในทีมงานบ้านพระอาทิตย์ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ตนยื่นข้อมูลพยานและหลักฐานต่างๆในคดีให้พนักงานสอบสวนบ้างหรือยัง ยืนยันว่าในขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นพยานหลักฐานใดๆให้พนักงานสอบสวน มิเช่นนั้นเท่ากับว่าตนจะเป็นทนายความที่ไม่ได้ทำงานตามข้อเท็จจริงหรืออาจเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกฎหมาย นอกจากนี้ โดยความรู้สึกส่วนตัวของทนายสายหยุดนั้นมิอาจทนทานกระแสสังคมได้ไหว เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากที่ตราหน้า
และกล่าวหาว่าเป็นทนายความไร้จริยธรรม ดังนั้นในวันพรุ่งนี้จึงได้เตรียมข้อแถลงการณ์ 4-5 ข้อ ไปออกรายการโหนกระแสเพื่อขอยุติบทบาทการเป็นทนายความให้กับนายษิทรา บ่ายวันเดียวกัน นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ พร้อมนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมคณะ ยื่นหนังสือถึงสภาทนายความฯ เรียกร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา กระทำผิดมรรยาททนายความเพื่อให้มีบทลงโทษทนายความทั้ง 2 คนว่า อำนาจหน้าที่พิจารณาเป็นอำนาจประธานกรรมการมรรยาททนายความดำเนินการหรือออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน 3 คน เพื่อไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง ทำหนังสือแจ้งคำกล่าวหาให้ทนายความที่ถูกกล่าวหาทราบ เพื่อผู้ถูกร้องเรียนยื่นคำคัดค้านหรือคำให้การโดยจะเชิญคู่กรณีไต่สวนอีกครั้ง ก่อนสรุปสำนวนพร้อมความเห็นว่าการกระทำที่ถูกกล่าวหากระทำผิดหรือไม่ พร้อมบทลงโทษเรื่องใด
จากนั้นจะส่งให้ประธานกรรมการมรรยาททนายความนำเข้าสู่ที่ประชุมพิจารณากลั่นกรองอีกครั้งและจะแจ้งให้นายกสภาทนายความทราบภายใน 30 วัน เพื่อให้นายกสภาทนายความนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการสภาทนายความกลั่นกรองอีกครั้ง โดยพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน จากนั้นจะแจ้งให้คู่กรณีทราบผลวินิจฉัยเพื่อให้คู่กรณีมีสิทธิ์อุทธรณ์ในระยะเวลา 30 วัน ทั้งนี้ เรื่องระยะเวลาในการพิจารณาไม่สามารถระบุได้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่และผลเป็นเช่นไร ไม่รู้สึกหนักใจ
หากผู้กล่าวหามีข้อเท็จจริงเรื่องของการประพฤติผิดมรรยาททนายความในการลงโทษ พร้อมจะดำเนินการตามกระบวนการ โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกัน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา กล่าวถึงกรณีถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยื่นร้องเรียนเรื่องมรรยาททนายต่อสภาทนายความฯว่า การจะร้องเรียนเรื่องมรรยาททนายความ จะต้องพบว่ามีการกระทำความผิดมรรยาท แต่ตนไม่ได้ทำอะไรผิดตามจริงแล้วนายสนธิควรไปฟ้องศาลเรื่องหมิ่นประมาทมากกว่า เหตุที่ไปร้องสภาทนายความคงต้องการให้ตนเสียชื่อเสียงมากกว่า เชื่อมั่นว่าสามารถต่อสู้ตามกระบวนการได้