เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เว็บไซต์สื่อต่างประเทศ AP รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญเตือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกกำลังกลายเป็น จุดศูนย์กลางของไต้ฝุ่น หลังอุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกอุ่นขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เกิดพายุถี่และรุนแรงมากที่สุดในโลกในขณะนี้
รายงานระบุว่า ไต้ฝุ่นคัลแมกี ได้สร้างความเสียหายหนักในฟิลิปปินส์ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 140 คน และมีผู้สูญหายอีกจำนวนมาก ก่อนจะเคลื่อนขึ้นฝั่งเวียดนาม ขณะที่ ไต้ฝุ่นฟงวอง กำลังก่อตัวขึ้นและมุ่งหน้าทางฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าจะทวีกำลังแรงขึ้นจนเป็นพายุระดับรุนแรงในช่วงวันอาทิตย์นี้ ส่งผลให้หลายฝ่ายจับตาว่าเหตุใดปีนี้พายุจึงเกิดบ่อยและมีความรุนแรงต่อเนื่อง
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ไต้ฝุ่นในแปซิฟิกตะวันตกมีลักษณะเหมือนกับเฮอร์ริเคนและไซโคลน ซึ่งทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่ม พายุหมุนเขตร้อน เพียงแต่เรียกต่างกันตามภูมิภาค ได้แก่ เฮอร์ริเคนในแอตแลนติก ไซโคลนในมหาสมุทรอินเดีย และไต้ฝุ่นในแปซิฟิกตะวันตก
พายุจะได้รับการตั้งชื่อเมื่อความเร็วลมแตะ 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะถูกจัดเป็นไต้ฝุ่นหรือเฮอร์ริเคนเมื่อความเร็วลมเกิน 119 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งระดับสูงสุดคือระดับ 5 หรือมีความเร็วลมมากกว่า 249 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไต้ฝุ่นคัลแมกีถือเป็นหนึ่งในพายุรุนแรงที่สุดของปีนี้
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดสเตตระบุว่า โดยเฉลี่ยในแต่ละปี มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกจะมีพายุที่ได้รับการตั้งชื่อประมาณ 27 ลูก และราว 14 ลูกจะทวีกำลังเป็นไต้ฝุ่นเต็มรูปแบบ สำหรับปีนี้ ไต้ฝุ่นคัลแมกีและฟงวองถือเป็นพายุลูกที่ 26 และ 27 แล้ว แม้จำนวนจะมากกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าฤดูกาลนี้ยังถือว่ารุนแรงน้อยกว่าปกติ คิดเป็นเพียงร้อยละ 62 ของค่ามาตรฐานเฉลี่ยในแต่ละปี
ศาสตราจารย์ คริสเตน คอร์โบซีเอโร จากมหาวิทยาลัยอัลบานี อธิบายว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคนี้เกิดพายุบ่อย เนื่องจากมีน้ำทะเลอุ่นตลอดทั้งปี และมีกระแสลมชั้นบนที่อ่อน ทำให้พายุสามารถก่อตัวและทวีความแรงได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ การสั่นของบรรยากาศมัดเดน จูเลียน หรือ MJO ซึ่งเป็นคลื่นความปั่นป่วนของสภาพอากาศที่หมุนเวียนรอบโลกทุก 30-60 วัน เมื่อเคลื่อนผ่านภูมิภาคใด มักจะกระตุ้นให้เกิดฝนและพายุเพิ่มขึ้นในพื้นที่นั้น โดยในช่วงนี้ MJO ที่มีความแรงเพิ่งผ่านเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ส่งผลให้เกิดการก่อตัวของไต้ฝุ่นคัลแมกีและฟงวองเกือบพร้อมกัน
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน จะไม่เพียงทำให้พายุเกิดบ่อยขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสที่ไต้ฝุ่นจะมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เริ่มชัดเจนในภูมิภาคเอเชีย




















