Home ข่าว ข่าวสังคม “ทนายเดชา”สวนกลับ “กัน จอมพลัง” หลังฟังคำชี้แจงเรื่องมูลนิธิฯ

“ทนายเดชา”สวนกลับ “กัน จอมพลัง” หลังฟังคำชี้แจงเรื่องมูลนิธิฯ

8

“ทนายเดชา”สวนกลับ กัน จอมพลัง หลังฟังคำชี้แจงมูลนิธิฯเรื่องยอดเงินบริจาคต้่วๆ ชี้เหตุผลบางอย่างยังไม่เคลียร์-ปิดบังข้อมูลหลายจุด

24ต.ค.68 กรณีที่ มูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้ ได้ออกมาแถลงชี้แจงต่อสังคมถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการและการใช้เงินบริจาค ล่าสุด ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์  ได้ออกมาแถลงข่าวภายหลังจากฟังคำชี้แจงทั้งหมด โดยระบุว่า จากที่ “กัน จอมพลัง” ออกมาบอกว่าเป็นเพียงผู้ร่วมก่อตั้ง แต่ไม่ได้ใส่ชื่อในเอกสาร เพราะเกรงว่าจะดูไม่โปร่งใสนั้น ถือเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะหากมีเจตนาดีจริง ควรบอกต่อสาธารณะตั้งแต่แรก ไม่ใช่ปกปิดไว้แล้วค่อยมาชี้แจงภายหลัง เนื่องจากการปิดบังตั้งแต่ต้น ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อความโปร่งใสของมูลนิธิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทนายเดชายังกล่าวถึง “คุณอีฟ” ซึ่งถูกระบุว่าเป็นประธานมูลนิธิ ว่าที่ผ่านมาไม่เคยแสดงตัวในฐานะประธานเลย ถือเป็นการปกปิดที่ชัดเจน แม้จะอ้างว่าไม่มีเจตนา แต่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นระบบและขาดความชัดเจนในโครงสร้างของมูลนิธิ ทั้งในด้านผู้บริหาร การตัดสินใจ และการใช้เงิน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่องค์กรสาธารณะอย่างมูลนิธิควรโปร่งใสที่สุด

ทนายเดชายังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นที่ฝ่ายมูลนิธิระบุว่า “ไม่มีการถอนเงินสด” โดยยืนยันว่าตนได้รับการติดต่อจากบุคคลหนึ่งในมูลนิธิ ซึ่งเป็นเพื่อนของตน และยังเป็นหนึ่งในกรรมการมูลนิธิด้วย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม เวลาประมาณ 17.46 น. โดยเพื่อนคนดังกล่าวโทรมาปรึกษาเรื่องการถอนเงิน พร้อมแจ้งว่าจะมีรถของมูลนิธิมารับถึงบ้าน แต่ต่อมาอีกสองวัน มีการนัดพูดคุยกับบุคคลสำคัญในวงการสื่อ ซึ่งเป็นคนดังมาก และมีการพูดคุยถึงเรื่องการถอนเงินอีกครั้งในวันที่ 19 ตุลาคม

พร้อมย้ำว่า ทุกอย่างต้องตรวจสอบได้ โดยเฉพาะสเตทเมนต์บัญชีธนาคารของมูลนิธิ ซึ่งต้องนำมาเปิดเผยอย่างละเอียด เพื่อพิสูจน์ว่าการเบิกถอนเงินและการโอนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้หรือไม่ พร้อมทั้งเสนอให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาตรวจสอบทั้งการจัดซื้อจัดจ้างและเส้นทางการเงิน เนื่องจากอาจจะมีความผิดตามกฎหมายหลายมาตรา ทั้ง ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน, พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์, และอาจเข้าข่าย ความผิดฐานฟอกเงิน

ทนายเดชายังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานของมูลนิธิในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายถูก “ครอบงำ” โดยจากคำให้การและพฤติกรรมหลายอย่าง พบว่า “กัน จอมพลัง” มีบทบาทในการตัดสินใจแทบทุกเรื่อง ทั้งที่อ้างว่าไม่ได้เป็นประธานตามเอกสารทางการ อีกทั้งยังมีข้อมูลว่าการถอนเงินส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยมีเพียงกัน จอมพลัง เป็นผู้ดำเนินการเพียงคนเดียว ซึ่งสร้างข้อสงสัยว่าภายในมูลนิธิมีกระบวนการตรวจสอบภายในหรือไม่

ในส่วนของการคืนเงินบริจาค ทนายเดชาระบุว่า จะต้องมีขั้นตอนที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ หากประชาชนรายใดต้องการเงินคืนสามารถยื่นเรื่องต่อมูลนิธิโดยตรง แต่หากมูลนิธิไม่สามารถคืนเงินได้โดยอ้างว่าสำเร็จวัตถุประสงค์แล้ว ทั้งที่ไม่ใช่ความจริง ก็อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายเช่นกัน

และกรณีที่ “กัน จอมพลัง” ออกมาให้ข้อมูลว่า ตนจะเดินทางไปยื่นเรื่องเพื่อให้กระทรวงมหาดไทยตรวจสอบตนเองนั้น ทนายเดชาได้มองว่า ขั้นตอนดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำได้จริงตามระเบียบ เนื่องจาก “ไม่มีบุคคลใดสามารถขอตรวจสอบตัวเองได้” การตรวจสอบมูลนิธิหรือองค์กรใด ๆ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ โดยต้องมีผู้ร้องทุกข์หรือมีเหตุอันควรสงสัยก่อนจึงจะดำเนินการตรวจสอบได้

นอกจากนี้ ทนายเดชายังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลบางรายในมูลนิธิกับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าจากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้ยังไม่พบว่าธรรมนัสมีส่วนเกี่ยวข้องกับมูลนิธิโดยตรง แต่อาจมีความสนิทสนมในระดับส่วนตัว จึงทำให้เกิดการเข้าใจผิดในสายตาของสังคม ทนายเดชามองว่า “คณะกรรมการบางคนที่ไม่มาร่วมแถลง” น่าจะเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงหรืออาจไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมดของเรื่อง

ในส่วนของกรณีที่ “ที่อยู่จัดตั้งของมูลนิธิ” ไม่ตรงกับข้อมูลที่แจ้งไว้ในเอกสารจดทะเบียน ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะมูลนิธิถือเป็นนิติบุคคลที่ต้องมีสถานที่ตั้งชัดเจน โปร่งใส และเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบได้ทุกเมื่อ

แต่จากข้อมูลที่มีการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าที่อยู่ของมูลนิธิในความเป็นจริง อาจไม่ใช่สถานที่ที่แจ้งไว้กับนายทะเบียน หากพบว่าเป็นโกดังหรือสถานที่ที่ไม่ได้มีการประกอบกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ก็อาจถูกมองได้ว่าเป็นการ “ปกปิด” หรือ “อำพราง” การดำเนินงานที่แท้จริง ซึ่งเข้าข่ายให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานได้

ทั้งนี้ ทนายเดชา กล่าวว่า จากการฟังคำชี้แจงทั้งหมดในวันนี้ยังมีหลายประเด็นที่ไม่ชัดเจน และอาจต้องดำเนินการต่อในทางกฎหมาย ตนยินดีหากจะถูกฟ้อง เพราะทุกอย่างควรผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างโปร่งใส

พร้อมย้ำว่า “วันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบเท่านั้น” และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำเอกสารทางการเงินทั้งหมดมาเปิดเผย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคืนความโปร่งใสให้กับสังคม