เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Angkhana Neelapaijit โดยระบุถึงกรณีการที่มีอินฟลูเอนเซอร์หรือบุคคลบางกลุ่มเข้าไปดำเนินกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดความหวาดกลัวหรือสร้างแรงกดดันในพื้นที่ความขัดแย้ง เช่น การเปิดเสียงหลอน เสียงโหยหวนในช่วงเวลาอ่อนไหว ซึ่งนางอังคณามองว่าเรื่องนี้อาจกลายเป็นความท้าทายต่อรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศในการเจรจาเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน
ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าว ถูกเผยแพร่ออกไป ได้เกิดกระแสตอบรับในสังคมอย่างกว้างขวาง มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเธอ บางส่วนถึงขั้นออกมาเรียกร้องให้ปลดออกจากตำแหน่ง ส.ว.
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม น.ส.ฐปนีย์ เอียดศรีชัย ผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าวอาวุโส โพสต์ข้อความผ่านช่องทางส่วนตัวเพื่อให้กำลังใจนางอังคณา โดยกล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อครั้งรายงานข่าวเกี่ยวกับชาวโรฮิงญา จนถูกตั้งฉายาว่า โรฮิงแยม และเผชิญแรงกดดันจากสังคมในลักษณะคล้ายกัน
เธอกล่าวว่า สถานการณ์ที่นางอังคณาเผชิญอยู่ในวันนี้ ทำให้ย้อนนึกถึงอดีตที่สังคมยังไม่เปิดกว้างต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน ทั้งที่เวลาผ่านไปกว่า 10 ปีแล้ว พร้อมระบุว่า การพูดถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ได้แปลว่าไม่รักชาติ และเน้นย้ำว่าการแสดงความเห็นที่แตกต่างควรถูกรับฟัง มากกว่าจะถูกต่อต้านหรือกล่าวหา
ฐปนีย์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้ไม่มีฝ่ายใดที่ถูกหรือผิดไปทั้งหมด พร้อมชื่นชมในเจตนาของฝ่ายที่เข้าไปทำงานในพื้นที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ทหาร หรืออินฟลูเอนเซอร์อย่าง คุณกัน จอมพลัง ที่อุทิศตนเพื่อประเทศชาติ แต่ก็เชื่อว่า ทุกฝ่ายควรเปิดใจรับฟังความเห็นที่แตกต่างด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
เราอย่าลืมความเป็นมนุษย์ของกันและกัน อย่าทำให้สังคมไทยต้องหันมาไล่ล่ากันเอง ฐปนีย์กล่าว พร้อมย้ำว่า ทั้งเธอและนางอังคณาต่างก็รักชาติ และต้องการเห็นประเทศเดินหน้าบนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ท้ายที่สุด เธอเรียกร้องให้สื่อมวลชนหยุดขยายประเด็นความขัดแย้งส่วนบุคคล แล้วหันมาเน้นการนำเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญ เช่น ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ รวมถึงแนวทางสร้างสันติภาพร่วมกันในภูมิภาคอย่างจริงจัง พร้อมปิดท้ายด้วยข้อความว่า ด้วยรักและปรารถนาดีค่ะ
