เรียกได้ว่ากระแส “เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น” ยังแรงไม่หยุด ล่าสุดผู้ใช้เฟสบุ๊ก “Prarinnawat Ex Khanarphakkhawatt” วิเคราะห์เชิงลึกว่า เจนนี่ไม่ได้เป็นแค่คนขายของออนไลน์ธรรมดา แต่กลายเป็น เครื่องมือสร้างกระแสบน TikTok Live ที่แบรนด์ยอมจ่ายแพงแม้ยอดขายจะขาดทุน ระบุว่า
ตอนนี้กระแส “เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น” มาแรงสุด ๆ ขนาดผู้จัดการเองยังเปิดดูทั้งวันทั้งคืน จาก micro-influencer สู่ real-time sales personality
แบรนด์จ้างเจนนี่เพื่อสร้างยอดขายฉับพลันใน 5–10 นาที แต่เบื้องหลังความขายดี มีระบบต้นทุนซับซ้อน
ต้นทุนฝั่งแบรนด์ผู้จ้าง
- ค่าตัวเจนนี่ 50,000 บาทต่อ 1 เซสชัน
- ค่าหัวคิวเจนนี่ 10% จากยอดขาย (บางดิล)
- VAT 7% ที่แบรนด์รับผิดชอบ
- Platform Fee ของ TikTok 15% (หักอัตโนมัติ)
- ลูกค้ากดสั่งแต่ไม่จ่ายจริง 20–30%
- การลดราคาสินค้า 20–40% เพื่อเร่งออเดอร์
เมื่อคำนวณตัวอย่างแบรนด์เล็กขายสินค้า 299 บาทต่อชิ้น 1,000 ออเดอร์ หลังหักต้นทุนทั้งหมด รวมถึงค่าจ้างเจนนี่ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ พบว่า แบรนด์อาจเหลือกำไรจริงเพียง 28,000 บาท หรืออาจติดลบหากรวมค่าแรงทีมแพ็กกิ้งและส่งคืนสินค้า
แต่เหตุผลที่แบรนด์ยังยอมลงทุน เพราะสิ่งที่พวกเขาซื้อไม่ใช่กำไรทันที แต่เป็น เครื่องมือทางการตลาดเชิงกลยุทธ์ ได้แก่
- Attention – การสร้างกระแสและเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากภายในไม่กี่นาที
- Trust Borrowing – ยืมความน่าเชื่อถือจากเจนนี่ ทำให้ผู้ชมเชื่อว่าสินค้าดีจริง
- Momentum – การปั่นแบรนด์ให้ติดตลาด แม้ Live แรกอาจขาดทุน
- Algorithm Advantage – กระตุ้นระบบ TikTok ให้สินค้าถูกแนะนำมากขึ้น ลดค่าโฆษณาในอนาคต
- Data – เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าจริง เพื่อปรับกลยุทธ์ขายต่อเนื่อง
- Positioning – ยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์จาก SME ธรรมดา เป็นแบรนด์ตลาด Mass
สรุปคือ เจ้าของแบรนด์ ยอมขาดทุนแบบมีเป้าหมาย เพื่อซื้อสิ่งที่โฆษณาแบบเดิมไม่สามารถให้ได้ นั่นคือ กระแส สังคมออนไลน์ และการรับรู้ของผู้บริโภค ซึ่งทำให้เจนนี่กลายเป็น เครื่องเร่งแบรนด์ระดับชาติ ในยุค TikTok Live
ขอบคุณข้อมูลจาก Prarinnawat Ex Khanarphakkhawatt